Wednesday, April 27, 2016

ระเบิดพลีชีพหญิงโจมตีใกล้มัสยิดที่เมืองบุรซา ในตุรกี

27/04/2016



คลิปวีดีโอจากกล้องวงจรปิดขณะเกิดเหตุระเบิดใกล้มัสยิดประวัติศาสตร์ Bursa Grand Mosque หรือ Ulu Cami เวลาประมาณ 17.25 น. ในวันที่ 27 เมษายน 2016  ทำให้มีผู้หญิงเสียชีวิต 1 ราย และผู้บาดเจ็บ 13 ราย และร้านค้าบริเวณใกล้เคียงได้รับความเสียหายเนื่องจากถูกแรงระเบิด


นาย Mehmet Müezzinoğlu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่า มีพลเรือน 13 ราย ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากเหตุระเบิดซึ่งก่อเหตุโดยมือระเบิดหญิงที่เสียชีวิตในเหตุระเบิด


ขณะนั้นมีผู้คนที่มาร่วมละหมาดญะนาซะฮฺถึง 700 คน ที่มัสยิด Bursa Grand Mosque ซึ่งเป็นงานศพของนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง
ของบุรซา


แหล่งข่าวตำรวจกล่าวกับผู้สื่อข่าวตรงบริเวณที่เกิดเหตุว่า มือระเบิดพลีชีพหญิงอายุ 25 ปี และเป็นไปได้ที่ระเบิดทำงานก่อนเวลาที่กำหนดไว้ ทำให้มีจำนวนผู้บาดเจ็บไม่มากนัก


ซึ่งเหตุระเบิดที่ตุรกีในครั้งนี้นับเป็นระเบิดครั้งที่ 5 ของปีนี้แล้ว และระเบิดที่บุรซาได้เกิดขึ้นภายใน 20 ช.ม. หลังจากสถานฑูตสหรัฐในตุรกีได้มีการออกคำเตือนพลเมืองของตนที่อาศัยอยู่ในตุรกี ซึ่งทางการสหรัฐได้อ้างว่าได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวกรองที่น่าเชื่อถือได้

ที่มา –


Saturday, April 23, 2016

พระสงฆ์ไทยใช้โซเชียลมีเดียเทศน์สอนชาวพุทธให้ใช้ความรุนแรงต่อชาวมุสลิม

เณรรูปหนึ่งกำลังยืนมองภาพต่างๆ ที่แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายโดยกล่าวหาว่าชาวมุสลิมนั้นเป็นผู้สังหารโหดชาวพุทธในจังหวัดภาคใต้ ประเทศไทย และภาพหลายนี้ได้มีการจัดแสดงไว้บนบอร์ดที่มันฆะเลย์ ในเมียนมาร์ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2015


โดย: ABBY SEIFF AND RIN JIRENUWAT
แปลอย่างละเอียดโดย: มุสลิมะฮ ออสเตรเลีย


24/04/2016


พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท วัย 30 ปี เป็นหัวหน้าพระวิทยากรประจำ
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม หรือเป็นที่รู้จักในนาม "The Marble 
Temple” ในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยพระมหาอภิชาติพยายาม
ฝืนยิ้ม ขณะที่อธิบายว่าเขาต้องโมโหมากแค่ไหน พระอภิชาติที่
หน้าตายังดูเด็กกว่าวัย ได้ดึงเอกสารต่างๆ ออกมา และกางออกวาง
เต็มโต๊ะ คนที่นั่งอยู่ข้างๆ พระก็คือเพื่อนที่พระเรียกมานั่งด้วย ในขณะ
ให้สัมภาษณ์ พร้อมถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกด้วยมือถือที่มีราคาแพงเลยที
เดียว



“นี้” พระอภิชาติกล่าวพร้อมใช้นิ้วแตะรั่วๆ ไปที่กระดาษเหล่านั้น ซึ่ง
เป็นรูปของพระ 20 รูปที่ถูกฆ่าและอีก 24 รูปที่ได้รับบาดเจ็บตั้งแต่ปี 
2007 จากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดสามชายแดนภาคใต้ เมื่อ
กลุ่มแบ่งแยกแผ่นดินได้ออกปฏิบัติการในบริเวณพื้นที่รอยต่อไทย-
มาเลเซีย ที่เริ่มขึ้นนับตั้งแต่ปี 2004 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 6,500 คน ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม แม้สถิติผู้เสียชีวิตที่
เปรียบเทียบชาวมุสลิมกับชาวพุทธมีความแตกต่าง แต่พระรูปนี้ก็ไม่
ได้ให้ความสนใจในสถิตินี้ “การเสียชีวิตของพระ 1 รูป สมควรมองว่า
เป็นการโจมตีทางศาสนา” พระอภิชาติอธิบาย “อาตมาเคยเครียดมา
ก่อน เมื่อทราบเรื่องพระสงฆ์ถูกฆ่าและบาดเจ็บ” “ตอนนี้มันผ่านจุดนั้น
ไปแล้ว ไม่เครียดอีกต่อไป แต่เป็นการแก้แค้นแทน นี้คือทำไมอาตมา
ถึงพูดไปอย่างนั้นเกี่ยวกับเรื่องเผ่ามัสยิด: เพราะอาตมาต้องการแก้
แค้น”



เมื่อปลายปีของปีที่แล้ว พระมหาอภิชาติได้กลายเป็นประเด็นให้พูด
ถึง หลังจากได้เรียกร้องให้สาวกของเขาเผ่ามัสยิด 1 หลังสำหรับพระ 
1 รูปที่ถูกฆ่าในภาคใต้ รัฐบาลไทยได้ทำการปิดเฟสบุ๊กส์พระอภิชาติ
ในทันที แต่นั้นเป็นการทำให้เพิ่มความนิยมให้พระกับรูปนี้มากยิ่งขึ้น 
ภายในไม่กี่เดือนมีคนติดตามหลายพันคนในเฟสบุ๊กส์ของเขา ทุกๆ 
สมาชิกแฟนเพจหนึ่งคนตำหนิพระด้วยการไม่เห็นด้วยกับความคิด จะ
มีสมาชิกอีกสองคนที่ร่วมกันให้กำลังใจให้เขาสู้อีกต่อไป



พระมหาอภิชาติกล่าวว่า เขาเรียนด้านการสื่อสารจากมหาวิทยาลัย 
แต่ใช้ทักษะการสื่อสาร ด้วยการเขียนข้อความที่ก่อให้เกิดความ
เกลียดชัง ซึ่งในหน้าเฟสบุ๊กส์ของพระมหาอภิชาติเต็มไปด้วยภาพที่
น่าสยดสยอง ที่มีจุดประสงค์เพื่อโชว์ภาพชาวพุทธถูกฟันศีรษะด้วย
มีดอีโต้ ถูกเผา และถูกยิงด้วยกลุ่มที่ต่อต้านรัฐบาลในสามจังหวัด
ชายแดนภาคใต้ รูปหลายรูปเป็นเหตุการณ์หลายปีมาแล้ว ที่ปรากฏ
เป็นข่าวตามหน้าหนังสือท้องถิ่นและหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ แต่พระ
มหาอภิชาติกล่าวกับเราว่าเขาได้รูปภาพและข้อมูลเหล่านี้แต่เพียงผู้
เดียว และกล่าวว่ารูปเหล่านี้เขาได้มาจากเจ้าหน้าที่ข่าวกรองนาย
หนึ่ง (แต่ภาพเหล่านี้ปรากฏในเว็ปเพจที่สร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านชาว
มุสลิมที่มีการแชร์กันมาเป็นเวลายาวนานแล้ว) เขายังได้ต่อว่าสื่อ
กระแสหลักในไทยว่าพยายามปกปิดความเป็นจริง ไม่ค่อยเสนอข่าว
พระสงฆ์และชาวพุทธที่ถูกสังหารใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้



“สิ่งที่อาตมาต้องการทำก็คือปลุกชาวพุทธที่กำลังหลับไหล และคิด
ว่าทุกอย่างสวยงามนั้น อาตมาต้องการให้พวกเขารับรู้ว่ากำลังเกิด
อะไรขึ้น ชาวมุสลิมไม่ได้พยายามที่จะบุกรุกสามจังหวัดชายแดนภาค
ใต้เท่านั้น พวกเขากำลังพยายามที่จะยึดครองทั้งประเทศ” พระมหา
อภิชาติกล่าว



ผู้เป็นไอดอลของพระอภิชาติคือพระวีระธุ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการจราจล
เข่นฆ่าชาวโรฮิงยาในปี 2012-2013 “มีการต่อต้านมุสลิมมากขึ้นใน
ไทย” “สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นแมลงสกปรกๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้ก้อนหิน แต่มันได้
กลายเป็นกระแสหลักไปแล้ว” แอนโธนี่ ดาวิส (Anthony Davis) นัก
วิเคราะห์ด้านความมั่นคงของ IHS-Jane’s กล่าว



พระสงฆ์ในไทยหาแนวร่วมมากขึ้น ซึ่งเป็นการร่วมมือกับพระสงฆ์ใน
ศรีลังกาและเมียนมาร์ – ทั้งสองประเทศที่มีความเป็นพุทธชาตินิยม
จัด มีการต่อต้านมุสลิมด้วยการใช้ความรุนแรง และในเดือนกุภาพันธ์
ของปีนี้ ชาวไทยพุทธได้มีการจัดงานประชุมในหัวข้อ “วิกฤตพระพุทธ
ศาสนาในเวทีโลก” “Crisis in the Buddhist World” พระสงฆ์ชาวศรี
ลังกาได้กล่าวปราศรัยถึงภัยคุกคามต่อศาสนาพุทธในอนาคต ขณะที่
ประธานของกลุ่มมาบาธา คือพระภัททันตะ ติโลกาภิวังสา และมีพระวี
ระธุเป็นหนึ่งในแกนนำคนสำคัญของกลุ่มมาบาทา โดยพระภัททันตะ
ได้มีการปราศรัยในหัวข้อเรื่องการใช้กฏหมายเพื่อนำมาปกป้องและ
ส่งเสริมพุทธศาสนา ก่อนที่จะได้รับรางวัลผู้นำพุทธโลก



“เรามีความกังวลถึงพวกมุสลิมที่บุกรุกเข้ามาในประเทศไทย” 
ผศ.ร.ท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ Banjob Bannaruji จากมหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และเป็นประธานคณะกรรมการรณรงค์
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วที่รัฐบาลเตรียมร่าง
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าสุด ดร.บรรจบ ได้ผลักดันความคิดที่มีมานาน
แล้ว เข้าไปไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ “เรากำลังถูกชาวมุสลิมคุกคาม
อย่างมากเพราะศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เป็นอันตรายในมุมมอง
ของผม” ดร.บรรจบกล่าว



ประชากรไทยประมาณ 94 เปอร์เซ็นต์นับถือศานาพุทธ และมีเพียง 4 
เปอร์เซ็นต์ที่นับถือศาสนาอิสลาม และก็มีอีกหลายคนที่เชื่ออย่างเขา 
ดร.บรรจบเชื่อว่ามันมีความไม่ชอบมาพากลที่มุสลิมในประเทศไทย
ต้องการขยายศาสนาอิสลามไปทั่วประเทศ โดยเขาอ้างว่ามีการ
ลักลอบมุสลิมชาวโรฮิงญาและชาวบังคลาเทศเข้ามาในประเทศไทย 
แล้วซุกซ่อนพวกเขาไว้ในมัสยิดทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “ทำไม
นะหรือ? เพราะพวกมุสลิมต้องการเพิ่มจำนวนประชากรของเขาที่นี่” 
ดร.บรรจบอธิบาย (ในขณะที่มุสลิมจากเมียนมาร์และบังคลาเทศได้
เข้ามาในแผ่นดินไทย ก็เพราะพวกเขาถูกเรือแวะเข้าไทย และนำมา
กักขังในค่ายต่างๆ ใกล้ชายแดนไทย โดยพวกค้ามนุษย์ที่ต้องการ
ข่มขู่เรียกค่าไถ่ก่อนที่จะขายพวกเขาต่อไปเป็นทาสแรงงาน หรือ
อนุญาตให้พวกเขาเดินทางต่อไปที่ประเทศมาเลเซีย)



นอกเหนือจากการ “บุกรุก” ดร.บรรจบ แสดงความไม่พอใจกับปัญหา
ที่เกิดขึ้นประจำวันที่ก่อขึ้นโดยชาวมุสลิม มัสยิดก็มีการสร้างมากขึ้น 
เด็กเริ่มเรียกร้องสิทธิในการปฏิบัติศาสนาในระหว่างเวลาเรียน และอีก
หลายๆ อย่างที่ทำลายประเพณีเก่าแก่ (เช่นกรณีเด็กในมหาลัย ขอ
ละเว้นที่จะไม่ไหว้รูปปั้นของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่
หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้า “ผมไม่รู้ว่าทำไมมุสลิมถึง
ถูกสั่งสอนมาให้เป็นคนใจแคบอย่างนี้” ดร.บรรจบ กล่าว



ผมได้เดินทางไปยังสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งผมได้พูดคุยกับ
เด็กนักเรียน พวกเขาต่างรับทราบถึงเรื่องพระมหาอภิชาติ และรู้สึก
กังวล “ผมกลัวว่าถ้าพระสงฆ์หรือคนพุทธเผ่ามัสยิด มันจะเกิดปัญหา
ขึ้นมา เราทั้งหมดต่างกลัวถึงการขัดแย้งทางศาสนาที่กำลังจะเกิดขึ้น 
ทั้งชาวพุทธและชาวมุสลิมจะฆ่ากันเอง” นักศึกษาศาสนาจากจังหวัด
ปัตตานีวัย 25 ปี ที่ไม่ประสงค์ออกนามเพื่อความปลอดภัย



นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงหลายคนต่างมีความกังวลเหมือนๆ กัน 
ศาสตราจารย์ซาคารี อาบูซา (Zachary Abuza) ศาสตราจารย์จาก 
National War College ในกรุงวอชิงตันดีซี ที่มีความเชี่ยวชาญทาง
ด้านการเมืองในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเขากล่าวว่า ชาว
พุทธสุดโต่งมีจำนวนมากขึ้น และกระทบอย่างรุนแรงต่อกลุ่มที่ถูก
ทอดทิ้งอยู่แล้ว” “ในปัตตานีมีชุมชนใหญ่ของชาวโรฮิงญา (ที่หลบหนี
มาจากเมียนมาร์) และผมคิดว่าพวกเขาก็รับทราบถึง....ในเหตุการณ์ที่
ชาวพุทธหัวรุนแรงและมีการปลุกปั่นให้ใช้ความรุนแรง และผมคิดว่า
พวกเขาก็กังวลกับปัญหาภาคใต้” ศาสตราจารย์ซาคารีกล่าว


นายปราโมทย์ สมะดี เป็นหนึ่งในหัวหน้าชุมชนมุสลิมและดำรง
ตำแหน่งผู้อำนวยการสถานีไวท์ชาแนล สถานีเคเบิ้ลทีวีมุสลิมในไทย
กล่าว “คนธรรมดาสามัญชนต่างหวาดกลัวต่อทัศนะคติเหล่านี้” แต่
เขายืนยันว่าความกังวลเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับชาวมุสลิมอีกหลายๆ 
กลุ่ม “มุสลิมอีกหลายๆ กลุ่ม, คนที่มีการศึกษา นักวิชาการต่างๆ พวก
เขาไม่ได้กังวลถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด.... ชาวมุสลิมในประเทศนี้มี
ประวัติศาสตร์และมีวัฒนธรรมที่ยาวนาน พวกเรามีบทบาทสำคัญยิ่ง
ในการช่วยสร้างประวัติศาสตร์ในไทยด้วยเช่นกัน....มันมีบริบทและมี
ปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้แตกต่างจากประเทศเมียนมาร์"


ชาวพุทธมีความกังวลกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน “มีคนหลายคนที่อ้างตัวว่า
เป็นชาวพุทธ แต่พวกเขากลับไม่เอาไหน” นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ 
Sulak Sivaraksa เป็นปราชญ์ชาวพุทธที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง และเป็น
ผู้วิจารณ์พวกที่นิยมใช้ความรุนแรงอย่างเปิดเผย เขาแนะนำพระมหา
อภิชาติว่า “ เขาสมควรเลิกเป็นพระไปซะ เลิกนับถือศาสนาพุทธ 
พระพุทธเจ้าสั่งสอนปราศจากการใช้ความรุนแรง ให้มีความรัก ความ
เมตตา และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น…. เมื่อใดที่ทำให้ชาวพุทธไป
ผนวกกับลัทธิและนำมันไปผูกติดไว้กับชาตินิยม กับเชื้อชาติ นั่น
แหละที่ถือว่าเป็นอันตรายอย่างมาก”



จากการที่รัฐบาลและชาวพุทธบางคนได้ประณามความคิดเห็นของ
พระมหาอภิชาติที่มีแต่ความเกลียดชังต่อชาวมุสลิม นับเป็นเรื่องที่น่า
ยินดีอย่างยิ่ง นายสะมะดีซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำของชาวมุสลิมกล่าว แต่
คำพูดวิจารณ์อย่างรุนแรงมีการแพร่กระจายอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น
ในเฟสบุ๊กส์ ทวิตเตอร์ และพันธุ์ทิพย์ ที่เป็นเว็ปไซต์ที่มีความนิยมมาก
ที่สุดในประเทศไทย ชาวพุทธจำนวนมากที่เข้าไปร่วมเสวนา “ปัญหา
ที่เกี่ยวกับชาวมุสลิม” ซึ่งมีเฟสบุ๊กส์เพจหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า “เปิดโปงอัปรีย์
พาล อภิบาลคุณธรรม” มีสมาชิกเพจอยู่ 18,000 คน โพสต์
โฆษณาชวนเชื่อต่างๆ นานาๆ ที่เป็นการต่อต้านชาวมุสลิม มีการเรียก
ร้องให้หยุดสนับสนุนสินค้าฮาลาล ส่วนเฟสบุ๊กส์เพจที่ชื่อ “กลุ่มต่อ
ต้าน มุสลิมหัวรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนใต้” ที่มีสมาชิกในปัจจุบัน 
9,000 คน ที่มีการโพสต์ข้อความต่างๆ เพื่อเอาใจแฟนเพจที่ร่วมกัน
ต่อต้านชาวมุสลิม และมีผู้กดไลค์ 25,000 คนที่เฟสบุ๊กส์เพจ “ศูนย์
พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย” ซึ่งเพจนี้มีส่วนผลักดันให้
หยุดแผนการสร้างนิคมอุตสาหกรรมฮาลาล และต้องย้ายออกไปจาก
เชียงใหม่



เรื่องการต่อต้านมุสลิมทั้งหมดนี้ ทำให้พระมหาอภิชาติอยู่ในสถานะที่
ได้ค่อนข้างได้เปรียบ ซึ่งเขาอ้างว่า ชาวพุทธทั่วประเทศล้วนแล้วแต่มี
ความกระตือรืนร้นที่จะเชื่อฟังทุกๆ คำพูดของเขา



เมื่อผมถามพระมหาอภิชาติว่าจะทำอะไรในก้าวต่อไป? เขาตอบอย่าง
หน้าตาเฉย แต่ล่ามของผมกลับพูดจาแบบตะกุกตะกักกับผมว่า 
“แผนการต่อไปคือการเตรียมน้ำมันใส่ในขวดเอาไว้ เพื่อใช้เป็นระเบิด
ในการเผ่าไหม้” พระมหาอภิชาตกล่าว “มันไม่ใช่แค่อาตมาเท่านั้นนะ 
แต่ชาวพุทธจากทั่วประเทศกำลังจะทำมันด้วยเช่นกัน เพื่อจะโยนมัน
ไปที่ไหนสักแห่ง ไม่มีใครรู้ว่าที่ไหน อาตมาแค่รอเวลาที่จะมีพระภิกษุ
สงฆ์อีกหนึ่งรูปเสียชีวิต ณ ตอนนี้ อาตมาแค่กำลังเผยแพร่อุดมการณ์
ของอาตมาในโลกโซเชียลมีเดียไปพลางๆ ก่อน"
                                   
                                     ______________________________________

ที่มาและรูปภาพ - 
A Thai Monk Is Using Social Media to Preach Violence Against Muslims
http://www.newsweek.com/…/thailand-monk-apichart-social-med…

‎พระมหาอภิชาติ‬ ปุณฺณจนฺโท โพสต์วีดีโอขู่เผ่ามัสยิด และขู่ฆ่ามุสลิมในไทย



คราวนี้ไม่ได้ออกมาโพสต์เฟสบุ๊กส์ แต่เล่นอัดคลิปวีดีโอขู่ฆ่ามุสลิม 
โดยอ้างถึงข่าวที่มี "ผู้ก่อการร้ายมุสลิม" ได้ลอบสังหารผู้ใหญ่บ้าน
อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ขณะที่กำลังช่วยเหลือพระบินฑบาตร ใน
เดือนมีนาคม 2559 โดยโพสต์ขู่ และปลุกปั่นให้ชาวพุทธทั่วประเทศ
ออกมาตอบโต้ชาวมุสลิมทันที ด้วยการเผ่ามัสยิดและสังหารมุสลิม 
พร้อมลอกเลียนแบบพระวีระธุโมเดล ถ้าพระในสามจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ถูกสังหารอีกครั้ง


"....นี้ไม่ใช่คำเตือน แต่นี้คือคำข่มขู่ว่าเราพร้อมจะตอบโต้พวกคุณ 
พวกคุณฆ่าพวกเรา แต่พวกเราจะไปลงกับพี่น้องพวกคุณ อย่าหาว่า
พระโหดร้ายหรือพระหัวใจเหี้ยมโหด... หากเมื่อเช้าพระเสียชีวิต 
รับรองได้ว่าพระวีระธุโมเดล จะปรากฏในเมืองไทยอย่างแน่นอน" 
#พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท กล่าวในคลิปวีดีโอ


เครดิตวีดีโอ - โปรดใช้วิธีการ ปั่นจักรยาน ในการรับชม つづ く เฟสบุ๊กส์


ข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ -
 พระมหาอภิชาติลั่นหมดเวลาปรานีชายแดนใต้ ผุดไอเดียพระตาย1 เผา1มัสยิด
https://www.facebook.com/muslim.aof/posts/1503357423291974

Monday, April 18, 2016

มุสลิมในคุมะโมโตะ ร่วมใจกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหว

15 เมษายน 2016



นายมาโล ซิสวะฮฺยู หัวหน้าชุมชนมุสลิมในคุมาโมโตะ ได้ให้
สัมภาษณ์กับสำนักข่าวของญีปุ่น NHK World ถึงกรณีที่ชาวมุสลิมใน
คุมาโมโตะเปิดศูนย์กลางอิสลามของคุมาโมโตะ ให้กับชาวญี่ปุ่นที่
อพยพออกจากบ้านเพื่อเข้าพักพิง หลังจากเหตุแผ่นดินไหว 2 ครั้ง
ติดต่อกัน บนเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น จนทำให้อาคารบ้านเรือนได้รับ
ความเสียหาย และมีผู้เสียชีวิต 42 ราย (อ้างจากฟูจิ เพรส) และมีผู้
บาดเจ็บจำนวนมาก


นอกจากนี้ มัสยิด Fukuoka เปิดมัสยิดให้กับผู้ประสบภัยจากแผ่นดิน
ไหว และยังมีการจัดเตรียมอาหาร พร้อมช่วยกันระดมเงินบริจาคจาก
ชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ทั่วญี่ปุ่นอีกด้วย


ที่มา –

Sunday, April 17, 2016

สหรัฐฯ จะทำการสอบสวนเรื่องการสังหารพลเรือนด้วยการใช้เครื่องบินไร้คนขับโจมตีในอัฟกานิสถาน

11 เมษายน 2016

ภาพเด็กๆ ชาวอัฟกานิสถานซึ่งไร้วิญญาณวางเรียงกันไว้บนพื้น เพื่อรอการทำพิธีทางศาสนา หลังจากถูกสหรัฐใช้เครื่องบินโจมตีทางอากาศถล่มครอบครัวใหญ่ของเด็กเหล่านี้ ทำให้ผู้ใหญ่เสียชีวิตหลายคน และเด็กอย่างน้อย 10 คน ใน Shultan Shigal district, Kunar, ทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน eastern Afghanistan 7/04/2013

เด็กเล็กชาวอัฟกานิสถานบาดเจ็บสาหัสในการโจมตีด้วยการใช้โดรนหรือเครื่องบินไร้คนขับ 14/06/11


ทางการอัฟกานิสถานได้กล่าวว่า ได้มีพลเรือนเสียชีวิต 3 คนในตอนกลางคืนจากการที่สหรัฐใช้เครื่องบินโจมตีทางอากาศ ระหว่างที่พวกเขาออกล่าหานกเพื่อนำมาเป็นอาหาร 05/08/2013


ทางองค์กรสหประชาชาติเองก็จะทำการสอบสวนด้วยการจัดตั้งคณะ
กรรมการอิสระขึ้นมา เพื่อสืบสวนในกรณีที่ประชาชนกล่าวหากองทัพ
สหรัฐฯ ว่าได้ใช้เครื่องบินไร้คนขับหรือโดรนสังหารพลเรือนใน 
Paktika องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic 
Treaty Organzation : NATO) ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากในสงคราม
ของประเทศอัฟกานิสถาน ได้มีการยืนยันว่ากองทัพสหรัฐฯ จะทำการ
สอบสวนในกรณีที่สหรัฐฯ ใช้โดรนโจมตีทางตะวันออกเฉียงใต้ของ
อัฟกานิสถาน ที่ได้คร่าชีวิตพลเรือนไป 17 คนเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา



พล.จ. ชาลส์ เคลฟเวอร์แลนด์ (Brigadier General Charles 
Cleveland) โฆษกของพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ ได้กล่าวกับสำนัก
ข่าวอัลญะซีเราะฮฺในวันจันทร์ (11/04/16) ว่า พวกเขาจะทำการ
สอบสวนถึงการโจมตีทางอากาศด้วยการใช้โดรนในจังหวัด Paktika



“ในเวลานี้เรายังไม่มีหลักฐานถึงการเสียชีวิตของพลเรือน อย่างไร
ก็ตาม เรากำลังสอบสวนเรื่องนี้อยู่” พล.จ. เคลฟเวอร์แลนด์กล่าว



เมื่อวันเสาร์ 9/04/16 บรรดาญาติและเหล่าอาวุโสจากหลายเผ่าได้มี
การเรียกร้องให้มีการสอบสวน ที่อ้างว่าการโจมตีทางอากาศหลาย
ครั้งนั้นได้สังหารพลเรือนไม่ใช่สมาชิกของกลุ่มติดอาวุธแต่อย่างใด 
อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลอัฟกานิสถานกล่าวกับสำนักข่าวอัลญะซี
เราะฮฺว่า พลเรือนที่ถูกสังหารจากการโจมตีทางอากาศมีความ
เกี่ยวข้องกับกลุ่มตอลิบัน



หนึ่งวันหลังจากมีการเรียกร้องให้มีการสอบสวน ทางคณะทำงาน
ให้การช่วยเหลืออัฟกานิสถานของสหประชาชาติ United Nations 
Assistance Mission in Afghanistan (UNAMA) ได้ยืนยันกับสำนัก
ข่าวอัลญะซีเราะฮฺว่าจะมีการสอบสวนเรื่องนี้ “ทาง (UNAMA) กำลัง
ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีรายงานพลเรือนเสียชีวิตจำนวน 
17 คน และเราจะเผยแพร่ผลการสอบสวนทันทีที่ผลสอบสวนเสร็จสิ้น
ลง” นาย Dominic Medley โฆษกของ UNAMA กล่าวกับสำนัก
ข่าวอัลญะซีเราะฮฺ


“เรามีการตรวจสอบจำนวนพลเรือนที่บาดเจ็บ และเสียชีวิตทั่ว
อัฟกานิสถาน แต่สำหรับในกรณีนี้ เราเพิ่งจะเริ่มต้นตรวจสอบข้อเท็จ
จริง ส่วนเรื่องรายงานคงจะใช้เวลาพอสมควรกว่าจะได้ข้อสรุปที่ถูก
ต้องที่ตรงกับความเป็นจริง”


นายมูฮัมหมัด ฮัสซัน กาซิซะดา “ Mohammed Hassan 
Ghazizada อดีตวุฒิสมาชิกจากจังหวัด Paktika กล่าวกับ
สำนักข่าวอัลญะซีเราะฮฺว่า “ผลการสืบสวนจะได้พิสูจน์กันว่า ฝ่าย
พลเรือนที่เป็นผู้บริสุทธิ์ถูกสังหารจากการโจมตีทางอากาศ”


“พลเรือนทั้งหมดนั้นล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ ผมรู้จักกับครอบครัวเหล่านี้
เป็นการส่วนตัว และผมก็ทราบดีถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการ
โจมตี การสอบสวนจะช่วยให้พวกเขา (กองทัพสหรัฐฯ) ออกมายอม
รับความผิดพลาด”


เมื่อไม่นานมานี้ ทางกองทัพสหรัฐฯ เองก็ยังออกมายอมรับว่า ได้ทิ้ง
ระเบิดถล่มโรงพยาบาล โดยเมื่อวันที่ 06 ตุลาคม 2558 พลเอก
จอห์น แคมป์เบล ผู้บัญชาการทหารสหรัฐในอัฟกานิสถาน ได้ออก
แถลงการณ์ครั้งแรกโดยเปิดเผยว่า กองกำลังอัฟกานิสถานเป็นฝ่าย
ขอให้สหรัฐโจมตีทางอากาศทิ้งระเบิดถล่มโรงพยาบาลในเมืองคุน
ดุซ ซึ่งทำให้มีพลเรือนและแพทย์เสียชีวิต 22 คน ภายหลังกลุ่ม
แพทย์ไร้พรมแดนประกาศว่าเป็นการกระทำที่เรียกว่าอาชญากรรม
สงคราม



ส่วนนายจอห์น แครี่ John Kerry รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่าง
ประเทศสหรัฐ แอบเยี่ยมประเทศอัฟกานิสถานแบบเงียบๆ เมื่อวันเสาร์
ที่ 9 เมษายน 2016 และได้เรียกร้องให้กลุ่มตอลิบันเข้าร่วมนั่งโต๊ะ
เจรจาเพื่อสันติภาพ แต่นายกาซิซะดา เชื่อว่าสันติภาพจะไม่เกิดขึ้น
ตราบใดที่ “พลเรือนผู้บริสุทธิ์ถูกสังหารรายวัน” อย่างนี้ต่อไป 
“อัฟกานิสถานจะไม่ประสบกับสันติภาพภายใต้สโลแกน “สงครามต่อ
ต้านการก่อการร้าย” ถ้า “พลเรือนผู้บริสุทธิ์ยังเสียชีวิตอยู่อย่างนี้อีก”



อัฟกานิสถานเป็นประเทศที่มีการใช้โดรนโจมตีมากที่สุดในโลก

ตั้งแต่ปี 2001 สหรัฐฯ ได้ส่งโดรนถล่มอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะแต่
ทางตอนใต้และทางตะวันออกของประเทศ



อ้างจากสำนักการข่าวเชิงสืบสวน (Bureau of Investigative 
Journalism) ที่มีสำนักงานอยู่ที่ลอนดอนกล่าวว่า อัฟกานิสถานเป็น
ประเทศที่มีการใช้โดรนโจมตีมากที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี 2001 ถึงปี 
2013 ได้มีการใช้โดรนโจมตีถึง 1,670 ครั้งในประเทศอัฟกานิสถาน



แต่กลับไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของการทิ้งระเบิด โดยเฉพาะ
ไม่มีการระบุจำนวนผู้เสียชีวิต ซึ่งมีเหตุผลสามประการด้วยกัน


ประการแรกก็คือ สื่อกระแสหลักไม่ได้ให้ความสนใจถึงสงครามที่ใช้
โดรนในการโจมตีทางอากาศ และไม่ได้สนใจว่าเหยื่อจะเป็นใคร


ประการที่สองก็คือ ทั้งรัฐบาลคาร์บูลและสหรัฐฯ ขาดความโปร่งใสไร้
ความจริงใจกับประชาชนชาวอัฟกานิสถาน


ส่วนประการสุดท้ายก็คือทั้งกลุ่มเคลื่อนไหวทางสิทธิมนุษยชน และผู้
สื่อข่าวไม่เคยสนใจเข้าไปทำข่าวหรือเก็บข้อมูลในบริเวณต่างๆ ที่มี
การทำสงครามในอัฟกานิสถาน ซึ่งในรายงานของสหประชาชาติ โดย
นักวิจารณ์ได้รายงานว่า ปราศจากผู้สื่อข่าวหรือกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อ
สิทธิมนุษยชนที่ประจำในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการทำสงครามกันอยู่ การที่
พลเรือนถูกสังหารจึงไม่มีการถูกรายงานข่าว และไม่เคยถูกบันทึก
เรื่องราวของพลเรือนที่เสียชีวิตจากโดรนหรือเครื่องบินรบของ
สหรัฐฯ เอาไว้อย่างเป็นทางการโดยนักสิทธิมนุษยชน



“พื้นที่ต่างๆ ที่อยู่ในการทำสงครามในอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะที่ที่มี
การโจมตีด้วยการใช้โดรนอยู่บ่อยครั้ง จะไม่มีผู้สื่อข่าวหรือนักสิทธิ
มนุษยชนไปประจำบริเวณนั้นๆ พวกเขาถือว่าพื้นที่เหล่านี้มันอันตราย
เกินไปและเป็นพื้นที่เสี่ยงตาย” นาย Waheed Mozhdah นัก
วิเคราะห์ทางการเมืองที่มีสำนักงานอยู่ในคาร์บูล กล่าว



ในปี 2013 ทางยูเอ็นยังได้ทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องการโจมตีด้วยการ
ใช้โดรนในอัฟกานิสถาน ปากีสถาน และเยเมน ชี้ให้เห็นว่า “สหรัฐฯ 
ปิดบังข้อมูลผู้เสียชีวิตจากการใช้โดรนโจมตี ทำให้เป็นอุปสรรคต่อ
การประเมินผลกระทบที่มีต่อพลเรือน” ดังนั้นรายชื่อและเรื่องราวของ
พลเรือนเหล่านั้น ที่เสียชีวิตจากการถูกโจมตีด้วยโดรนจึงไม่ปรากฏ
ต่อสาธารณชน มีเพียงแต่ครอบครัวของพวกเขาเท่านั้นที่ทราบเรื่อง
ราว



นาย Jack Serle จาก Bureau ใช้เวลาหลายปีศึกษาเรื่องการโจมตี
ด้วยการใช้โดรน ให้ความเห็นว่า “จากประสบการณ์ของผมเอง เจ้า
หน้าที่ตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่ประจำจังหวัดจะเป็นแหล่งข้อมูล
เกี่ยวกับเรื่องผู้เสียชีวิตจากโจมตีด้วยโดรน แต่บ่อยครั้งก็ไม่มีความ
ชัดเจนว่าพวกเขานำข้อมูลมาจากที่ใด ซึ่งในปีที่ผ่านมา พวกที่ให้
ข้อมูลบอกกับผมว่าเขาได้ข้อมูลมาจากสำนักงานความมั่นคงแห่ง
ชาติ (National Directorate of Security ใช้อักษรย่อว่า NDS) จาก
หน่วยข่าวกรองของอัฟกานิสถาน ซึ่งรับข้อมูลมาจากสหรัฐฯ อีกทอด
หนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป”



✍ เรื่องเล่าของนายซาดิ๊ก พลเรือนที่เสียชีวิตจากการโจมตีด้วยโดรน

ครอบครัวของนายซาดิ๊ก รู้สึกช็อคเมื่อได้ฟังจากสถานีวิทยุ Azadi ที่
มีเครือข่ายในอัฟกานิสถานแต่เป็นของรัฐบาลสหรัฐฯ และทราบจาก
ข่าวช่องอื่นๆ ที่นำลูกชายของตนไปเชื่อมโยงกับกลุ่มติดอาวุธ ทั้งๆ ที่
นายซาดิ๊กเองนั้นไม่เคยมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มใดๆ เลย


หลังจากที่นายซาดิ๊กเสียชีวิตไม่กี่อาทิตย์ ไม่มีผู้สื่อข่าวสักคนเดียวที่
เข้ามาเยี่ยมครอบครัวของเขาที่หมู่บ้านเพื่อค้นหาความจริง หรือไม่มี
การไปพูดคุยกับผู้คนที่รู้จักกับนายซาดิ๊กเลย



ครอบครัวของนายซาดิ๊กเองก็ได้เข้าพบตำรวจและทหารประจำท้อง
ถิ่น ซึ่งแม้กระทั่งพวกเขาได้แสดงความเสียใจต่อ



การจากไปของนายซาดิ๊ก แต่พวกเขาก็บอกกับครอบครัวของนาย
ซาดิ๊กว่าไม่ให้ทำอะไรไปมากกว่านี้
“พวกเขาต้องการให้ครอบครัวเงียบไป เพราะเรื่องนี้มันจะทำให้ทาง
รัฐบาลและสหรัฐฯ กลายเป็นอาชญกรรมสงคราม” นายฟาฮัด คาน 
Farhad Khan ผู้เป็นลูกพี่ของนายซาดิ๊กที่อาศัยอยู่ในเยอรมัน และ
ตอนนี้พยายามส่งเงินช่วยเหลือครอบครัวนายซาดิ๊กอยู่


จนถึงปัจจุบันนี้ ครอบครัวนายซาดิ๊ก ยังไม่ได้มีการรับการอธิบายว่า
ทำไมลูกชายของเขาถึงถูกสังหาร และทำไมถึงนำนายซาดิ๊กไป
เกี่ยวข้องกับกลุ่มตอลิบัน



✍ เรื่องเล่าของเด็กชาย 4 ขวบที่เสียชีวิตจากการถูกโจมตีด้วยโดรน

ในเดือนเมษายน 2013 นายนากิ๊บบุลลอฮฺ Naqibullah ได้นำลูกชาย 
อามิร วัย 4 ขวบ ไปพบแพทย์ที่เมืองอัสซาดาบัด Asadabad อยู่ทาง
ทิศตะวันออกของจังหวัดคูนาร์ Kunar นายนากิ๊บบุลลอฮฺบอกน้อง
ชายวัย 25 ปี นายอับดุล วาฮิด ให้นำลูกกลับหมู่บ้านไปด้วยกับน้อง 
ระหว่างที่เขาต้องการอยู่ที่เมืองคูนาร์ต่อ



เมื่อเขาโทรกลับบ้านเพื่อให้แน่ใจว่าทั้งน้องชายและลูกกลับบ้านด้วย
ความปลอดภัยหรือเปล่านั้น เขาได้รับคำตอบกลับมาว่า ทั้งสองคน
เสียชีวิตไปแล้ว


“ชาวบ้านบอกกับผมว่าทั้งน้องชายและลูกชายของผมถูกสังหารโหด
จากการโจมตีทางอากาศด้วยโดรน” “ผมรับไม่ได้กับข่าวร้ายนี้ มัน
ทำให้ผมต้องนิ่งเงียบไปโดยปริยาย ทันใดนั้นภาพของลูกชายและ
น้องของผมก็ปรากฏขึ้นมา ขณะที่น้ำตาของผมที่ไหลออกมาไม่หยุด”



อ้างอิงข้อมุลจากนายนากิ๊บ รัฐบาลคาร์บูลยืนยันว่าลูกชายและน้อง
ชายของเขาเป็นสมาชิกกลุ่มตอลิบัน รัฐบาลอัฟกานิสถานกลับบอก
ผมว่าเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องพิสูจน์เอาเองว่าทั้งลูกชายและน้องของ
ผมไม่ได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มตอลิบัน



จนถึงวันนี้ นายนากิ๊บบุลลอฮฺ ดูแลลูกๆ ของน้องชายอับดุล วาฮิด ที่
เป็นเหยื่อจากการโจมตีทางอากาศด้วยโดรน “ฮิลาล ซึ่งเป็นหนึ่งใน
ลูกชายของน้องผมยังคงถามผมถึงพ่อของเขาอยู่ตลอดเวลา”



กองทัพอิสราเอลสังหารเด็กกาซ่า 50 คน ภายใน 2 วัน

แคทเธอรีน รัสเซลล์ ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรยูนิเซฟ UNICEF ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีที่นองเลือดในฉนวนกาซาเหนือเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย...