13 มีนาคม 2016
ย่างกุ้ง – นายโดนัล ทรัมป์ มหาเศรษฐีจากธุรกิจด้านอสิงหาริมทรัพย์
ผู้สมัครเพื่อเข้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ ถูกเรียกว่าเป็นพวกคลั่ง
ชาติพันธุ์นิยม และเกลียดชนชาติอื่นๆ ที่แตกต่างจากชาติพันธุ์
ตนเอง Xenophobic Fascist นายทรัมป์ถูกเปรียบเทียบว่าเป็น
เหมือนกับอดีตผู้นำเผด็จการของเยอรมนี “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” แต่อีก
มุมหนึ่งของโลกนายทรัมป์ กลับกลายเป็นบุคคลที่ได้รับการชื่นชอบ
จากบรรดาพระสุดโต่งและกลุ่มต่อต้านมุสลิมในเมียนมาร์
“ตราบใดที่คัมภีร์อัลกรุอานยังคงมีอยู่ ก็จะมีพวกก่อการร้ายอยู่อีกต่อ
ไป และก็เหมือนกับนายทรัมป์ เรากำลังพยายามที่จะปกป้องประเทศ
และศาสนาของเรา จากภัยอันตรายของศาสนาอิสลาม” พระสงฆ์ U
Parmaukkha พระหัวรุนแรงและเป็นสมาชิกอาวุโสของกลุ่ม “มะบ๊ะ
ต๊ะ”(Ma Ba Tha) กล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์ที่วัด Magwe
Pariyatti ซึ่งตั้งอยู่ในเขตชานเมืองของกรุงย่างกุ้ง
วาทกรรมต่อต้านชาวมุสลิมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีการเสนอเรียก
ร้องห้ามชาวมุสลิมเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ เป็นการสะท้อนถึง
นโยบายของกลุ่มพระสงฆ์ชาตินิยมหัวรุนแรง ที่คอยปลุกปั่นคนใน
ชาติว่าชาวมุสลิมนั้นเป็นภัยคุกคามการดำรงอยู่ของชนชาวพุทธที่เป็น
คนส่วนใหญ่ของประเทศเมียนมาร์ ทั้งพระสงฆ์หัวรุนแรงและทรัมป์ได้
ฝังตัวเองอยู่กับความโกรธเกลียดและความเกลียดชังชาวมุสลิม โดย
นำความคิดว่าเป็นการปกป้องประเทศของตนจากภัยคุกคามของกลุ่ม
มุสลิมหัวรุนแรงมาเป็นข้ออ้าง
นายทรัมป์จึงเป็นที่รักใคร่ต่อพวกสุดโต่งชาวเมียนมาร์ เช่นนาย Win
Ko Ko Latt ประธานกลุ่มยุวชน Myanmar National Network ซึ่ง
เชื่อมโยงกับกลุ่มมะบ๊ะต๊ะ ซึ่งเป็นกลุ่มที่จัดประท้วงและผลักดันกฏ
หมายต่างๆ ที่เป็นการต่อต้านมุสลิมในเมียนมาร์
“ผมชอบโดนัล ทรัมป์ เพราะเขาเข้าใจภัยอันตรายของพวกมุสลิม”
นาย Latt กล่าวในระหว่างการให้สัมภาษณ์ระหว่างการเยี่ยมเยือนวัด
Magwe เมื่อเร็วๆ นี้ “มันแสดงให้เห็นว่า การที่เราต่อสู้ต่อต้านอิสลาม
นั้น มันจัดเป็นวาระระดับโลกเลยทีเดียว และศาสนาอิสลามนั้นเป็นภัย
คุกคามไม่ใช่แค่ในเมียนมาร์เท่านั้น แต่เป็นภัยที่ครอบคลุมไปทั่วโลก
ชาวมุสลิมและศาสนาอิสลามถูกนำมาเป็นประเด็นใหญ่โตในการ
แข่งขันเข้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีของปี 2016 ในสหรัฐฯ หลังจาก
เหตุการณ์โจมตีที่ปารีสและซานเบอร์นาดิโน โรคเกลียดกลัวอิสลาม
Islamophobia ได้ถูกนำเข้าไปประเด็นแอบแฝงในการเมืองของเมีย
นมาร์ด้วยเช่นกัน ที่มีความพยายามเปลี่ยนผันจากระบบการปกครอง
ของทหารให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
มุสลิมในเมียนมาร์ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรง และไม่มีการรับรอง
สัญชาติ กลุ่ม "มะบ๊ะต๊ะ" (Ma Ba Tha) หรือ "องค์กรปกป้องเชื้อชาติ
และศาสนา" และกลุ่มเคลื่อนไหว 969 ที่นำโดยพระวีระธู ได้ร่วมกัน
ปลุกปั่นให้ชาว
พุทธในเมียนมารร์ลุกขึ้นมาต่อต้านมุสลิม เช่นการนำข่าวเท็จว่าคน
มุสลิมข่มขื่นชาวมุสลิมมาเป็นประเด็นปลุกปั่น พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงใน
เมียนมาร์ได้มีส่วนร่วมกับกลุ่มคลั่งชาติเหล่านี้ โดยมีการโจมตี สังหาร
หมู่ชาวโรฮิงยาในปี 2012 ทำให้ชาวโรฮิงยานับหมื่นคนถูกสังหารหมู่
ถูกเผ่าบ้านเรือน และถูกจำกัดเสรีภาพในการเคลื่อนย้าย สิทธิการได้
รับการศึกษา และการรักษาพยาบาล ชาวโรฮิงยานับแสนคนต้อง
กลายเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศตนเอง และต้องเข้าไปอยู่ในค่ายลี้ภัยที่มี
สภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้าย
กลุ่มชาวพุทธชาตินิยมในเมียนมาร์ ซึ่งรวมถึงกลุ่มพระผู้มีอิทธิพล
อย่าง "มะบ๊ะต๊ะ" (Ma Ba Tha) ใช้มุสลิมชาวโรฮิงยามาเป็นประเด็น
ในการโจมตี โดยกล่าวหาว่า พวกเขาเป็นภัยคุกคามต่อชาติ ปฏิเสธว่า
ชาวโรฮิงยานั้นไม่มีสัญชาติเมียนมาร์ แต่เป็นพวกลอบเข้าเมืองอย่าง
ผิดกฏหมายที่มาจากบังคลาเทศ
“พวกโรฮิงยาเกือบทั้งหมดเป็นพวกที่อยู่อย่างผิดกฏหมาย ดังนั้นมัน
เป็นสิ่งสำคัญมากที่เราจะต้องหยุดยั้งรัฐบาลใหม่ที่จะให้สัญชาติกับ
คนพวกนี้ ซึ่งมันจะทำให้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศของเรา”
นาย Latt ประธานกลุ่มยุวชน Myanmar National Network กล่าวปิด
ท้าย