ผู้รอดชีวิตจากเหตุกราดยิงที่มัสยิดในไครสต์เชิร์ชที่เป็นมุสลิมผิวขาวชาวอังกฤษ ได้ขอบคุณผู้ก่อการร้ายผิวขาวชาวออสซี่ ที่ทำให้เขาเพิ่มความศรัทธาต่อศาสนาอิสลามมากยิ่งขึ้น
นายนาธาน สมิทธิ์ เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากเหตุก่อการร้ายโดยชายผิวขาวชาวออสซี่บุกกราดยิงมุสลิมที่ไปละหมาดวันศุกร์ในมัสยิด 2 แห่งในไครสต์เชิร์ช ซึ่งเขาได้เผชิญหน้ากับผู้ก่อการร้าย นายเบรนตัน ทาร์แรนต์เป็นครั้งแรกในศาลว่า เขาเข้ารับอิสลามมาได้ 9 ปีแล้ว และการที่เขาตัดสินใจเข้ารับอิสลามเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยทำมา ซึ่งเขากล่าวเน้นย้ำถึงการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิต 2 ครั้งด้วยกัน
สมิทธิ์ยังขอบคุณทาร์แรนต์ที่เป็นผู้ก่อการร้าย โดยกล่าวว่า เป็นเพราะทาร์แรนต์แท้ๆ เลยที่ทำให้เขามีความศรัทธาในศาสนาอิสลามมากยิ่งขึ้นไปอีก และยังทำให้เขาต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอิสลาม
สมิทธิ์พูดกับทาร์แรนต์ว่า สิ่งที่เขากระทำนั้น ทำให้ชาวยุโรปทั่วทุกมุมโลกต้องอับอายขายหน้า เพราะทาร์แรนต์ลงมือฆ่า “มุสลิม” ในนามของ “ชนผิวขาว” โดยทาร์แรนต์มองว่า ชาวมุสลิมล้วนเป็นผู้บุกรุก และพวกเขาล้วนเป็นคนผิวสีเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงมีชาวยุโรปผิวขาวจำนวนมากที่หันมาเข้ารับอิสลามในประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ สมิทธิ์ถึงกล่าวเน้นย้ำในศาลว่า เขาภูมิใจที่เป็นมุสลิม และเป็นคน “ผิวขาว”
สมิทธิ์ได้พูดถึงความโหดร้ายของทาร์แรนต์ โดยเอ่ยถึงเหยื่อจากการก่อการร้ายที่มีอายุน้อยที่สุด เด็ก 3 ขวบที่ต้องมาตายในอ้อมแขนของเขา โดยทาร์แรนต์จ่อยิงเด็กในระยะเผาขนแบบเหี้ยมโหด
จากนั้น สมิทธิ์แนะนำให้ทาร์แรนต์ลองใช้เวลาว่างอ่านกุรอานในคุก แต่ทาร์แรนต์กลับหัวเราะเยาะใส่สมิทธิ์ เขาจึงเน้นกับทาร์เรนท์ว่าลองอ่านดูสิ กุรอานเป็นคัมภีร์ที่งดงาม
ล่าสุด ในวันพฤหัสที่ 27 ส.ค. ศาลนิวซีแลนด์ตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิตนายเบรนตัน ทาร์แรนต์ ชาวออสซี่วัย 29 ปี ผู้ก่อการร้ายกราดยิงมัสยิด 2 แห่งในเมืองไครสต์เชิร์ชจนมีผู้เสียชีวิตมากถึง 51 คน และบาดเจ็บ 40 คน เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2562 โดยไม่มีการผ่อนผันทำทัณฑ์บน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการลงโทษหนักระดับนี้ในนิวซีแลนด์ ทั้งนี้นิวซีแลนด์ไม่มีโทษประหารชีวิต
อัยการแถลงว่า นายทาร์แรนต์บอกกับตำรวจหลังการจับกุมว่า เขาต้องการสร้างความหวาดกลัวให้กับชาวมุสลิมที่เขามองว่าเป็นผู้บุกรุก โดยเขาได้ใช้เวลาหลายปีในการจัดซื้ออาวุธปืนที่มีอานุภาพสูง ศึกษาแผนผังของมัสยิด ด้วยการบินโดรนเหนือเป้าหมายหลักของเขา และกำหนดเอาวันที่ 15 มีนาคม (ซึ่งเป็นวันศุกร์ที่มีคนมาละหมาดเป็นจำนวนมาก) เป็นวันโจมตี เพื่อให้มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด โดยเหยื่อส่วนใหญ่ถูกยิงที่มัสยิดอัล-นูรฺ จากนั้นก็ไปโจมตีต่อที่มัสยิดแห่งที่สอง (มัสยิดลินวู้ด) ก่อนที่จะถูกควบคุมตัวระหว่างทางไปมัสยิดแห่งที่สาม เขายังได้ถ่ายทอดสดการก่อการร้ายผ่านทางเฟซบุ๊กอีกด้วย
ที่มา:
เครดิต Video: Middle East Eyes