Friday, December 25, 2020

ผู้ช่วยอิหม่ามชาวปากีสถานถูกทุบตีจนตายในเยอรมัน





ผู้ช่วยอิหม่ามประจำมัสยิดมาดีนะฮ์ชื่อนายชาฮีด นาวาส ฆ็อดรีย์ Shahid Nawaz Qadri ที่มีสัญชาติปากีสถาน วัย 26 ปีถูกทุบตีจนตาย ขณะที่เดินอยู่กับภรรยาชาวเยอรมันที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งใกล้บ้าน ในเมืองสตุทท์การ์ท ประเทศเยอรมัน โดยยังไม่ทราบตัวคนร้าย


ดร.มูฮัมหมัด ไฟซ้อล เอกอัครราชทูตปากีสถานประจำประเทศเยอรมัน โพสต์ในทวิตเตอร์วันที่ 23 ธันวาคม ยืนยัน เหตุการณ์ที่เศร้าสลดนี้โดยระบุว่า เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2020 ที่ผู้เสียชีวิตคือ นายชาฮีด นาวาส ชาวปากีสถาน และตำรวจกำลังสืบสวนคดี และกำลังรีบเร่งค้นหาคนร้าย เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย” 


ดร.มูฮัมหมัด ยังทวิตด้วยว่า เขาได้ส่งเจ้าหน้าที่จากกงสุลใหญ่ของเมืองแฟรงค์เฟิร์ต รีบเดินทางไปยังเมืองสตุทท์การ์ท เพื่อไปเยี่ยมเยือนครอบครัวของผู้เสียชีวิต และให้การช่วยเหลือครอบครัวอย่างเต็มที่ พร้อมเข้าพบตำรวจของเมืองสตุทท์การ์ท” 


ที่มา:

https://en.dailypakistan.com.pk/23-Dec-2020/pakistani-origin-imam-brutally-beaten-to-death-in-germany

https://dunyanews.tv/en/Pakistan/579656-Pakistani-origin-deputy-Imam-beaten-to-death-in-Germany


#อิสลามโมโฟเบียในเยอรมัน

Sunday, December 20, 2020

เด็กทารกมุสลิมอายุเพียง 20 วัน ถูกรัฐบาลศรีลังกาบังคับเผาศพ

เด็กทารกมุสลิมอายุเพียง 20 วันถูกรัฐบาลศรีลังกาบังคับเผาศพ เพราะโรงพยาบาลอ้างว่าเด็กเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19










..ชัยค์ ทารกที่มีอายุเพียง 20 วัน “เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล Colombo’s premier Lady Ridgeway Children’s Hospital ตอนประมาณตี 4 ของวันที่ 8 .ในช่วงเวลานั้น ทารกอยู่ในภาวะวิกฤตจากอาการปอดบวมขั้นรุนแรง และได้รับการยืนยันในช่วงบ่ายว่าผลการตรวจโควิด-19เป็นบวก (ติดเชื้อโควิด-19)  ขณะเดียวกันทางโรงพยาบาลก็ยืนยันเช่นกันว่าผลการตรวจทั้งพ่อและแม่เป็นลบ (ไม่ติดเชื้อ)” Dr. G. Wijesuriya ผู้อำนวยการของโรงพยาบาล Lady Ridgeway Hospital for Children กล่าว



นายอาลี ซากีร์ เมาลานา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและเป็นส.ได้พูดคุยกับนายฟาฮิม พ่อของทารก โดยเขาเล่าว่า ตอนมาถึงโรงพยาบาลตอน 22.00 ของวันจันทร์ที่ 7 (แต่ผู้อำนวยการของโรงพยาบาลบอกเด็กมาตอนตีของวันอังคารที่8) โรงพยาบาลจับเด็กตรวจโควิด-19 ด้วยการตรวจเชื้อไวรัส (Antigen) ซึ่งผลตรวจแสดงว่าเด็กติดเชื้อโควิด-19 ในขณะที่ผลตรวจทั้งเขาและภรรยาที่ให้นมลูกมาโดยตลอดก็ไม่ติดเชื้อโควิด



ฟาฮิมเคยได้ยินมาว่าการตรวจแบบแอนติเจนมีหลายครั้งที่ผลการตรวจเป็นบวกแต่บุคคลนั้นไม่ได้ติดเชื้อโควิด 19 จริง (negative positive) เขาจึงขอร้องหมอให้ตรวจแบบ PCR อีกครั้งเพื่อยืนยันว่าลูกติดโควิด-19 จริง แต่หมอกลับปฏิเสธและบอกฟาฮิมให้หาที่ตรวจเอง ฟาฮิมซึ่งเป็นคนขับรถสามล้อ ขาดรายได้เกือบเดือนมาแล้ว เพราะช่วงโควิด-19 จึงโทรหาให้คนช่วยค่าใช้จ่ายให้ และปรากฏว่ามีคนเต็มใจจะช่วยจ่ายค่าตรวจให้



ขณะที่รอรายงานผลตรวจแอนติเจนอย่างเป็นทางการ และเขาพยายามติดต่อโรงพยาบาลเอกชนเพื่อนำลูกไปตรวจPCR ทางโรงพยาบาลบอกให้กลับบ้านไปก่อนแล้วปล่อยให้เด็กทารกนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ทั้งฟาฮิมและภรรยาต่างพากันกลับบ้านไปอย่างไม่เต็มใจนัก” นายอาลีโพสต์ในทวิตเตอร์ 



เมื่อยังหาโรงพยาบาลเอกชนที่จะนำลูกไปตรวจPCR ไม่ได้ ฟาฮิมโทรกลับไปที่โรงพยาบาลเก่า โดยโรงพยาบาลบอกเขาว่าเด็กถูกย้ายไปที่ MICU ตอนเวลาตี 3 แล้วเมื่อโทรติดต่อกลับไปอีกทีตอนตี 5 ครึ่ง ทางโรงพยาบาลบอกว่าลูกเสียชีวิตแล้ว



ฟาฮิมจึงรีบรุดไปยังโรงพยาบาล โดยหมอบอกว่า เขาต้องเซ็นเอกสาร ฟาฮิมบอกว่าเขาจะเซ็นให้ถ้าเขาสามารถฝังศพลูกเขาได้ และถ้ามีการตรวจ PCR ทางโรงพยาบาลจึงปฏิเสธไม่ให้นำศพเด็กทารกกลับไป และยังสั่งให้ฟาฮิมเซ็นเอกสารอีกเมื่อฟาฮิมยังคงปฏิเสธ ทางการจึงบอกว่าถ้าไม่เซ็นก็กลับไปซะ ฟาฮิมจึงกลับไปโดยไม่ได้เอาศพลูกไปด้วย 



ฟาฮิมเสียใจเป็นอย่างมากที่ต้องสูญเสียลูกไป เขาส่งริฟคานที่เป็นน้องเขยไปเจรจากับทางการ ทางการยังสั่งให้เซ็นเอกสารอีก แต่เขาก็กลับมาโดยไม่ได้เซ็น เขายังบอกอีกว่ามีสื่อหลายสำนักพากันเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวโรงพยาบาล



ประมาณตี 3 ครึ่งฟาฮิมได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลบอกว่า ทางโรงพยาบาลกำลังนำศพเด็กทารกไปยังเผาที่  Borella Crematorium และถ้าต้องการมาก็สามารถมาได้ ฟาฮิมกับเพื่อนอีก 3 คนจึงไปยังสถานที่เผาศพ แต่เขาไม่ต้องการเข้าไปข้างใน เพราะไม่อยากเห็นร่างลูกน้อยที่ถูกเผาไหม้



ฟาฮิมรู้สึกหัวใจสลายที่สื่อกระแสหลักพากันบันทึกวีดีโอในการเผาศพลูกชายตั้งแต่ต้นจนจบ ประหนึ่งเหมือนเป็นการแสดง 



เพื่อนๆ ของฟาฮิมพยาบาลพูดคุยกับทางการอีกครั้งหนึ่งและเป็นครั้งสุดท้าย แต่ทางการกลับปฏิเสธ และเดินหน้าเผาศพเด็กทารก ฟาฮิมกลับบ้านมาพบภรรยาและลูกสาววัย 6 ขวบด้วยความโศรกเศร้า เขาบอกกับอาลีว่า เขาขอดุอา (อธิษฐานต่ออัลลอฮฺว่าเหตุการณ์นี้จะไม่เกิดกับเด็กๆ มุสลิมคนไหนอีกต่อไป



ฟาฮิมและภรรยาของเขาพยายามมีลูกคนที่ 2 เป็นเวลาถึง 6 ปี การที่ชัยคนมาอยู่กับเขาได้ 20 วันนับเป็นเวลาที่สุดแสนวิเศษยิ่ง



การเผาศพชัยค์เกิดขึ้น หลังจากที่ศาลสูงสุดปัดรับคำร้องที่ให้มีการฝังศพ แทนการบังคับเผาศพมุสลิมที่เสียชีวิตจากโควิด-19 แต่ศาลก็ไม่ได้อธิบายถึงเหตุผลที่ปฏิเสธคำร้อง มุสลิมที่ส่งคำร้องไปแล้วถึง 12 ครั้ง ซึ่งทางรัฐบาลออกกฏหมายให้มีการบังคับให้เผาศพสำหรับผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม ซึ่งทางมุสลิมบอกว่าเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานในการเลือกปฏิบัติตามหลักคำเชื่อทางศาสนาอิสลามที่มีกำหนดให้ฝังศพ



ทั้งนี้มีมุสลิมมากกว่า 15 ศพแล้วที่ถูกบังคับเผาศพ จากการเสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 มีมุสลิมหลายคนที่เสียชีวิตโดยไม่ติดโควิด-19 แต่ทางโรงพยาบาลก็อ้างว่าเสียชีวิตจากติดโควิด แต่พอทางญาติมาขอตรวจซ้ำกลับมีผลเป็นลบ แต่ถูกทางโรงพยาบาลส่งไปเผาศพแล้ว



ทำให้ญาติประท้วงด้วยการทิ้งศพมุสลิมที่โรงพยาบาลอ้างว่าเสียชีวิตด้วยโควิด19 ไว้ที่ห้องเย็นของโรงพยาบาลอย่างน้อย 15 ราย ไม่ยอมไปเซ็น ไม่ยอมจ่ายเงินค่าเผาศพ บอกว่ารัฐบาลจะเอาศพไปทำอะไรก็เชิญตามสบาย 



จากการบังคับเผาศพด.อายุ 20 วันกลายเป็นประเด็นที่ ทำให้เกิดการลุกขึ้นมาประท้วงอย่างสันติทั่วศรีลังกา ด้วยการเริ่มไปผูกผ้าสีขาวหน้าที่รั้วของ Borella Crematorium ที่ใช้เป็นสถานที่บังคับเผาศพเด็ก แต่ผ่านไปไม่ถึงช..ทางการก็ไปแกะเอาผ้าสีขาวออก และยังมีการประท้วงในอังกฤษ เพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับมุสลิมชาวศรีลังกาที่ถูกบังคับเผาศพจากการที่โรงพยาบาลอ้างว่ามุสลิมเสียชีวิตด้วยโรคโควิด19 



ล่าสุด รัฐบาลมัลดีฟส์ ได้ตอบรับรัฐบาลศรีลังกาที่มีการเจรจาในการส่งศพมุสลิมที่เสียชีวิตจากโรคโควิด ให้ไปฝังที่มัลดีฟ์แทน ซึ่งมุสลิมในศรีลังกาต่างพากันปฏิเสธเสียงแข็ง โดยเน้นย้ำว่า เราภาคภูมิใจในการเป็นมุสลิมชาวศรีลังกา เราเกิดที่นี่และเราต้องการที่จะถูกฝังศพที่บ้านเกิดของเรา




ที่มา


https://5pillarsuk.com/wp-json/5pukapi/post_detail?id=45439


https://economynext.com/mourning-dead-muslim-infant-who-was-cremated-76831/


https://www.aljazeera.com/news/2020/12/16/maldives-marginalising-sri-lanka-muslims-with-covid-burial-plan

Tuesday, December 15, 2020

ชาวจะนะรักษ์ถิ่นยอมกลับบ้านแล้ว

ชาวจะนะรักษ์ถิ่นยอมกลับบ้านแล้ว แม้กระทั่งรัฐบาลบอกแค่เป็นการ “ชะลอ” โครงการอุตสาหกรรมเอาไว้ก่อน

















วันนี้ 15 .. 63 ชาวบ้าน "กลุ่มจะนะรักษ์ถิ่นยอมกลับบ้านแล้ว หลังจากปักหลักค้างคืนข้างทำเนียบรัฐบาลมาเป็นเวลา 5 คืน 6 วัน ซึ่งโครงการอุตสาหกรรมจะนะที่ชาวบ้านต่อต้านไม่ได้ มีการยุติ” ตามที่กลุ่มจะนะรักษ์เรียกร้องเอาไว้ตั้งแต่แรก มันเป็นเพียงการ “ชะลอ” โครงการเอาไว้เท่านั้นเอง 


เวลาประมาณ 11.30 ..ธรรมนัส เข้ามารายงานผลที่ได้เสนอข้อเสนอของชาวบ้านต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยระบุว่า คณะรัฐมนตรี มีมติให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่ง มีสถานะเป็นคณะอนุกรรมการแก้ปัญหา โดยให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม รวมถึงตัวแทนชาวบ้านและตัวแทนทหารจากกองทัพภาคที่ 4 ด้วย เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการ “ชะลอ” โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ 


ทั้งนี้ธรรมนัสยังจัดรถบัสอย่างดี เตรียมไว้รอรับกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่นไปส่งให้ถึงบ้านอีกด้วย


ทางด้านนายวรา จันทร์มณี เลขาธิการเครือข่ายประชาชนพิทักษ์สิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรม ได้เข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่นตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย ได้โพสต์ในเฟสบุ๊ค โดยตั้งข้อสังเกตว่า “แม้ว่าพี่น้องจะนะจะรู้ว่าเป็นเพียงการยื้อเวลา แต่พี่น้องก็อดทนพอที่จะยื้อกับรัฐ หากพี่น้องไม่ยอมกลับจะถูกประชาชนกลุ่มกลางๆ หรือกลุ่มที่ยังไม่เข้าใจปัญหามองว่าดื้อรั้น จนถูกทำลายความชอบธรรมทันที” 


ก่อนจะกลับบ้าน พี่น้องชาวจะนะยังได้กล่าวขอบคุณ และมอบดอกไม้และกอดกับกลุ่มนักศึกษา และเครือข่ายคณะราษฎรที่คอยสนับสนุนซื้อเต็นท์ น้ำ อาหาร พัดลมต่อไฟฟ้าให้ใช้ และคอยช่วยเหลือต่างๆ นานา  แถมทิ้งท้ายว่าจะกลับมาปักหลักประท้วงหน้าทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง ถ้ารัฐบาลไม่ทำตามสัญญา


ข้อมูลอ้างอิงและรูปภาพ:


https://www.voicetv.co.th/read/n9hEU67xe

สื่อเถื่อน

เฟสบุ๊ค: Wara Chanmanee 


Thursday, December 10, 2020

ด่วน! โมร็อคโคตกลงปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอลอย่างเป็นทางการแล้ว

 







ด่วนโมร็อคโคตกลงปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอลอย่างเป็นทางการแล้ว




วันที่ 10 ธันวาคม ประธานาธิบดีทรัมป์ทวิตข้อความว่า โมรอคโคตกลงสถาปนาความสัมพันธ์กับอิสราเอล “นับเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์อีกครั้งมิตรที่ดีของเราทั้งอิสราเอลและโมร็อคโคได้ตกลงสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็นข้อตกลงทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญต่อสันติภาพในตะวันออกกลาง




โมร็อคโคเป็นประเทศอาหรับที่ 4 ที่กลับมาสานสัมพันธ์กับอิสราเอล โดยเริ่มต้นจาก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE), บะห์เรน และซูดาน




ส่วนซาอุดิอาระเบียเพิ่งมีการยอมให้สายการบิน 'อิสราเอล ที่สามารถใช้น่านฟ้าบินทางผ่านไปยังสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ได้แล้วเมื่อวันที่ที่ 30 พฤศจิกายน  ซึ่งจะส่งผลดีต่อสายการบินของอิสราเอลที่บินไปทางตะวันออก โดยจะทำให้ใช้เวลาบินสั้นลงไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ได้ถึง  2-3 ชั่วโมง





ที่มา

Trump Twitter

Fox News

https://www.jpost.com/israel-news/uae-prohibits-israeli-flights-to-dubai-as-saudis-postpone-flying-approval-650708

Sunday, December 6, 2020

ทั้งอียูและยูเอ็น ต่างเรียกร้องให้มีการสอบสวนการสังหารเด็กวัยรุ่นชาวปาเลสไตน์โดยทหารอิสราเอล









ทางการชาวปาเลสไตน์เรียกการฆ่าเด็กวัยรุ่นว่าเป็น "อาชญากรรมสงคราม" ขณะที่คณะผู้แทนสหภาพยุโรปกล่าวว่าอิสราเอลต้องสอบสวน "เหตุการณ์สะเทือนขวัญ" ครั้งนี้อย่างจริงจัง


อาลี อาบู อะลิยาห์ Ali Abu Aliya วัย 14 ปี ถูกยิงที่ท้องด้วยกระสุนจริง ระหว่างการประท้วงเมื่อวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2020 เพื่อต่อต้านการขโมยที่ดินของชาวปาเลสไตน์ ที่รัฐบาลอิสราเอลยังคงทำอย่างต่อเนื่อง ในหมู่บ้านอัล-มักเฮยีร์  al-Mughayyir ใกล้เมืองรอมัลเลาะฮ์ Ramallah


เด็กได้ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลประจำท้องถิ่น (ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังหามส่งโรงพยาบาล) เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข กล่าว


“ เด็ก ๆ ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ” “แล้วจะต้องมีเด็กปาเลสไตน์อีกกี่คนกันเล่า ที่ต้องถูกกองกำลังความมั่นคงของอิสราเอลใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดถึงขนาดยิงให้ตาย?” “เหตุการณ์ที่สุดช็อคนี้ จะต้องได้รับการสอบสวนอย่างรวดเร็ว โดยทางการอิสราเอล เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม” ผู้แทนสหภาพยุโรปได้ทวิตข้อความ


เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคกล่าวว่า เขา"หวาดผวา" จากการทราบข่าวการสังหารวัยรุ่นชาวปาเลสไตน์ เรียกร้องรัฐบาลอิสราเอลควร "สอบสวนเหตุการณ์ที่สุดช็อคโดยเร็ว แนะตั้งกรรมการสอบสวนขึ้นมาโดยเฉพาะ” เขาเน้นย้ำว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถยอมรับได้ นาย Nikolay Mladenov โพสต์ในทวิตเตอร์


ในวันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม มีผู้มาร่วมงานญานาซะฮ์ (งานศพ) ซึ่งได้หามศพของอาลีที่ห่อด้วยธงชาติปาเลสไตน์ และแห่ไปตามถนนในเมืองรอมัลลอห์ พร้อมผ พากันตะโกนว่า “ด้วยวิญญาณและเลือดเราจะช่วยเอาคืน โอ้น้องผู้พลีชีพ” 


ที่มา: 

https://www.aljazeera.com/news/2020/12/5/eu-calls-for-probe-into-palestinian-teens-killing-by-israel

https://english.palinfo.com/news/2020/12/5/Palestinian-child-shot-at-W-Bank-protest-dies-of-injury

https://abcnews.go.com/International/wireStory/mourners-gather-palestinian-youth-shot-israeli-forces-74554377


Monday, November 30, 2020

ทวิตเตอร์ ระงับบัญชีโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน เพราะละเมิดกฎการใช้งาน




สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานข่าวว่า ทวิตเตอร์ปิดแอคเคาท์@jitarsa_school "โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน" ซึ่งเปิดบัญชีเมื่อเดือนก.ย. มีผู้ติดตาม 48,000 ราย ทวิตเตอร์พบว่าผู้ติดตามบัญชีนี้ราว 80% เพิ่งจะถูกสร้างขึ้นมาในช่วงหลังจากต้นเดือน ก.ย.เป็นต้นมา โดยตัวอย่าง 4,600 บัญชี ชี้ชัดว่าเป็นการเปิดมาเพื่อใช้ปั่นแฮชแท๊กที่อวยสถาบันเท่านั้น เป็นเครื่องชี้ว่าไม่ใช่ผู้ใช้ทวิตเตอร์ทั่วไป


“บัญชีนี้ถูกระงับเนื่องจากละเมิดกฎของเราซึ่งเกี่ยวข้องกับการเป็นบัญชีสแปมและการบิดเบือน” ตัวแทนทวิตเตอร์กล่าว พร้อมย้ำว่าการระงับที่เกิดขึ้นเป็นไปตามนโยบายของทวิตเตอร์ และไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการตั้งคำถามจากรอยเตอร์ 


บัญชีโรงเรียนจิตอาสาพระราชทานที่ถูกทวิตเตอร์ปิดไป ระบุไว้ด้วยว่ามีหน้าที่ฝึกฝนผู้คนเพื่อเป็นจิตอาสาสำหรับโครงการพระราชทาน โดยเฟซบุ๊กเพจของ Royal Volunteers School ได้โพสต์และแชร์ข่าวสารและวิดีโอที่เกี่ยวข้องการการสนันสนุนสถาบันอย่างต่อเนื่อง พร้อมยืนยันว่าเป็นเจ้าของทวิตเตอร์บัญชี @jitarsa_school จริง แต่ขณะนี้ยังไม่มีการออกมาชี้แจงหลังเกิดเหตุถูกสั่งระงับบัญชีทวิตเตอร์ดังกล่าวทั้งจากทางเจ้าของเพจหรือทางสำนักพระราชวัง


โดยก่อนหน้านี้ บัญชีของกลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ @FreeYOUTHth และบัญชีของฟอร์ด ทัตเทพ @fordtattepRuang ก็เคยถูกระงับการให้บริการไปก่อนหน้านี้ แต่สุดท้ายทวิตเตอร์ได้ปลดการระงับการให้บริการในเวลาต่อมา



ที่มา: 

https://uk.reuters.com/article/uk-thailand-protests-royalists-exclusive-idUKKBN289108

Sunday, November 29, 2020

ช่างภาพสงครามชาวซีเรียที่ได้รับรางวัลถูกตร.ฝรั่งเศสทำร้ายถึงขั้นจมูกหัก ขณะที่ทำข่าวการประท้วง










นายอามิรฺ อัลฮัลบีย์ (Ameer AlHalbi) เป็นช่างภาพสงครามอิสระวัย 24 ปี ที่ทำงานให้กับนิตยสาร Polka และสำนักข่าว AFP ถูกตำรวจฝรั่งเศสใช้กระบองฟาดอย่างไร้ความปราณี จนถึงขั้นจมูกหัก และได้รับบาดเจ็บที่หน้าผาก ขณะถ่ายภาพงานประท้วงอยู่ที่ Place de la Bastille ซึ่งต่อมาเขาถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล 


“ เรารู้สึกตกใจกับการบาดเจ็บของเพื่อนร่วมงานของเรา อามิรฺ อัลฮัลบีย์ และขอประณามความรุนแรงที่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายยั่วยุ” Phil Chetwynd ผู้อำนวยการสำนักข่าว AFP


นาย Chetwynd เรียกร้องให้มีการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำร้ายอามิรฺ “เพื่อให้แน่ใจว่าผู้สื่อข่าวทุกคนสามารถทำข่าวได้โดยปราศจากความกลัวหรือมีข้อจำกัดในการทำข่าว


อามิรฺได้ไปถ่ายภาพการประท้วง เมื่อวันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2020 ที่มีคนฝรั่งเศสราว 500,000 คนออกมาประท้วง เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรฝรั่งเศสมีมติเห็นชอบให้มีการผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ ที่ห้ามทั้งประชาชนทั่วไปและผู้สื่อข่าวเผยแพร่รูปภาพหรือคลิปวีดีโอใบหน้าตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งมีโทษจำคุก 1 ปีและปรับสูงถึง 45,000 ยูโร หรือราว 1.6 ล้านบาท


ประชาชนในฝรั่งเศสออกมาประท้วงกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ครั้งที่ 2 เนื่องจาก เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ Loopsider นำภาพจากกล้องวงจรปิดออกเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี 26 พฤศจิกายน ขณะตำรวจ 3 นายรุมต่อยเตะและใช้กระบองฟาดมิเชล ซิคเลอร์ โปรดิวเซอร์เพลงคนผิวสี ในสตูดิโอของเขาที่กรุงปารีส เหตุเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน ซึ่งความผิดของซิกเลอร์มีเพียงแค่เขาไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย


ทั้งนี้ ผู้ประท้วงเห็นว่า ร่างกฎหมายนี้ จะเปิดช่องโหว่ให้ตำรวจที่ชอบใช้กำลังเกินเหตุสามารถหลุดพ้นจากการดำเนินคดีไปได้ 


อามิรฺเป็นผู้ลี้ภัยจากซีเรีย ซึ่งเขาเคยได้รับรางวัลระดับนานาชาติหลายรางวัล รวมถึงรางวัลที่สองในประเภท“ Spot News” ของ World Press Photo ในปี 2017 จากการถ่ายภาพสงครามในอเลปโป บ้านเกิดของเขาในซีเรีย


อามิรฺเดินทางมาจากซีเรียเพื่อขอลี้ภัยในฝรั่งเศส เหมือนกับนักข่าวชาวซีเรียคนอื่นๆ ดินแดนที่บอกว่าเป็นผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน ไม่ควรที่จะคุกคามพวกเขา แต่ต้องทำหน้าที่คุ้มครองพวกเขา” นาย Christophe Deloire เลขาธิการใหญ่ขององค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders) โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์


ที่มา


https://www.aljazeera.com/news/2020/11/29/award-winning-syrian-photojournalist-injured-during-paris-protest


https://www.theguardian.com/world/2020/nov/29/syria-war-photographer-wounded-by-police-during-paris-protest

กองทัพอิสราเอลสังหารเด็กกาซ่า 50 คน ภายใน 2 วัน

แคทเธอรีน รัสเซลล์ ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรยูนิเซฟ UNICEF ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีที่นองเลือดในฉนวนกาซาเหนือเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย...