Tuesday, December 17, 2019

จากชาวบ้านที่รับจ้างตัดไม้กลายไปเป็นโจรใต้ไปได้ยังไง?


ข่าวจากสื่อกระแสหลักเสนอว่าเป็นการปะทะกัน แต่ดูจากสภาพผู้เสียชีวิตเหมือนจับนั่งคุกเข่า แล้วจ่อยิงที่ศีรษะทีละคน

อ้างจากสำนักข่าวหลายแห่งในไทยต่างเสนอข่าวตรงกันว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2562 เวลา 18.00 น. พ.อ.ธีร์พัชร์ เมพันธุ์ ผบ.ฉก.ทพ.45 อ.ระแงะ จ.นราธิวาส จัดกำลังชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ ฉก.ทพ.45 จำนวน 3 ชุด หลังสืบทราบว่ามีกองกำลังติดอาวุธได้เคลื่อนไหวเพื่อประชุมวางแผนก่อเหตุร้ายขึ้นในพื้นที่ เจ้าหน้าที่กระจายกำลังเดินลาดตระเวนอยู่บนเทือกเขา ช่วงบริเวณหลังหมู่บ้านอาแน ม.8 ต.บองอ


เจ้าหน้าที่พบกับกองกำลังติดอาวุธ จำนวน 6 ถึง 7 คน และเมื่อกองกำลังติดอาวุธพบเห็นเจ้าหน้าที่ จึงได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่จนทั้ง 2 ฝ่ายได้ปะทะกันที่เขาตะเว ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เบื้องต้นผู้ก่อการร้ายเสียชีวิต 3 ราย เจ้าหน้าที่ยึดอาวุธปืน AK 47 จำนวน 1 กระบอก ปืนพก 1 กระบอก โดยอ้างว่าคนร้ายที่ถูกวิสามัญมีคดีความมั่นคงด้วย


ผู้เสียชีวิตคือ 1. นายมะนาซี สะมะแอ อายุ 27 ปี 3. นายฮาพีซี มะดาโอะ อายุ 24 ปี 3. นายบูดีมัน มะลี อยายุ 26 ปี ทั้ง 3 คนเป็นชาวต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส


ครอบครัวของผู้เสียชีวิตและชาวบ้านในหมู่บ้านต่างออกมายืนยันว่า ทั้งสามคนมีอาชีพรับจ้างขนไม้/ตัดไม้ และไม่เคยมีคดีความมั่นคงอย่างที่ตกเป็นข่าว


ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แทบนั้นได้ยินเสียงปืนตอนเวลาประมาณ 10.00 น. พยาน 3 คนที่รอดชีวิตมาได้วิ่งกลับมาบอกชาวบ้านในหมู่บ้านเวลา 11.00 น. ซึ่งต่างจากการเสนอข่าวของสื่อกระแสหลักว่า มีการยิงปรทะกันเกิดขึ้นตอน 18.00 น. เมื่อเวลา 17.00 น. ฉก. 45 นำชาวบ้านพร้อมชรบ. 6 คน ขึ้นเขาไปครึ่งทางแล้วต้องกลับมาเพราะทหารบนเขาไม่ยอมให้ขึ้นไปในเวลานั้น ซึ่งกว่าจะได้ศพกลับมาทำพิธีทางศาสนาก็เป็นเวลา 20.00 น.ของวันที่ 17 ธ.ค. อีกหนึ่งวันหลังจากถูกวิสามัญ กินเวลาไป 35 ชม.


ล่าสุด กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วหน้าออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. ยอมรับแล้วว่าทั้ง 3 คนที่ถูกวิสามัญเป็นเพียงชาวบ้านในหมู่บ้านเท่านั้น มิใช่เป็นผู้ก่อการร้ายแต่อย่างใด และยังอ้างว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติด้วยความระมัดระวัง แต่เข้าใจผิดว่าทั้ง 3 คนเป็นผู้ก่อการร้าย มีการให้คำมั่นสัญญาว่าจะรับผิดชอบ และจะนำเข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอนทางกฏหมาย พร้อมกับตั้งคณะกรรมการสอบสวนของหน่วยเพื่อดำเนินการกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางวินัยและทางอาญาขั้นเด็ดขาดไม่มีข้อละเว้น


นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้คณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นองค์กรอิสราะจากผู้แทนของทุกภาคส่วนที่ได้รับการยอมรับจากคนในพื้นที่ เข้าทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงคู่ขนานอย่างเป็นอิสระและโปร่งใสในการให้ความช่วยเหลือเยียวยาให้เหมาะสอม และให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย



ที่มา –
สำนักข่าวWartani
เฟสบุ๊กส์ ThaiPBS ศูนย์ข่าวภาคใต้
ด่วน!!!ทหารปะทะเดือดโจรใต้ เด็ดหัว 3 ศพกลางเขาตะเว
https://www.naewna.com/local/460655
รู้ตัวแล้ว 3คนร้ายป่วนใต้ ยิงปะทะเจ้าหน้าที่ ก่อนถูกจับตาย บนเขาตะเว
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_3201580
เดือด! ทหารพรานยิงปะทะโจรใต้ดับ 3 บนเทือกเขาตะเว ยึดปืน 2 กระบอก
https://mgronline.com/south/detail/9620000119931

Thursday, December 12, 2019

“ออง ซาน ซูจี” ขึ้นศาลโลก ปฏิเสธข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญา



นางซู จี กล่าวเปิดการชี้แจงและแก้ต่างต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือ ศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวานนี้ (11 ธ.ค.) ปฏิเสธข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา โดยระบุว่า ข้อกล่าวหาต่อเมียนมาที่แกมเบียนำเสนอต่อศาลเป็นข้อมูลที่ "ไม่ครบถ้วนและไม่ถูกต้อง" ซึ่งก่อให้เกิดความเข้าใจผิด พร้อมระบุว่า ปัญหาความรุนแรงในรัฐยะไข่เป็นเรื่องซับซ้อนและมีมานานย้อนกลับไปหลายร้อยปี


นางซู จี ชี้แจงว่า สถานการณ์ความรุนแรงที่รัฐยะไข่ในปัจจุบันมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มติดอาวุธที่มีแนวคิดสุดโต่ง เช่น กลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวพุทธ Arakan Army ที่ต้องการปกครองตนเอง หรือเอกราชในรัฐยะไข่ ส่งผลให้พลเรือนจำนวนมากในรัฐยะไข่ต้องหนีความรุนแรงออกจากพื้นที่


นอกจากนี้ยังมีกองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน หรือ อาร์ซา (ARSA) ซึ่งก่อเหตุโจมตีป้อมตำรวจหลายแห่งในมืองมองดอว์ ทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ใกล้กับพรมแดนบังกลาเทศ ส่งผลให้เกิดความรุนแรงครั้งใหญ่ในปี 2017 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคน และชาวโรฮิงญากว่า 73,000 คน ต้องอพยพลี้ภัยหนีตายเข้าไปยังบังกลาเทศ

“เป็นที่น่าเสียใจอย่างยิ่ง ที่แกมเบียนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาล โดยบิดเบือนสถานการณ์ที่แท้จริงในรัฐยะไข่ ของเมียนมา เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่ศาลจะพิจารณาประเมินสถานการณ์และได้รับข้อมูลจริงจากพื้นที่อย่างไร้อคติและแม่นยำ” ออง ซาน ซูจี กล่าว


ขณะที่บริเวณนอกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กลุ่มชาตินิยมเมียนมารวมตัวกันถือป้ายข้อความและรูปภาพของซูจี เพื่อร่วมให้กำลังใจและสนับสนุนซูจีในการต่อสู้คดี


ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมอีกจำนวนหนึ่งต่างตะโกนข้อความเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชาวโรฮิงญา พร้อมกล่าวหาซูจีว่าเป็นผู้ที่ทรยศต่อประชาคมโลก


ในวันเดียวกัน (11 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวโรฮิงญาที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ แสดงความไม่พอใจระหว่างชมการถ่ายทอดสดจากศาลยุติธรรม พร้อมทั้งกล่าวหาว่า ออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมาและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้การเท็จต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ด้วยการพูดคำโกหกทั้งหมดเพื่อที่จะได้มีอำนาจต่อไปในรัฐบาล ทั้งที่ความเป็นจริงทหารเมียนมาจับชาวโรฮิงญาไปทรมาน สังหาร ข่มขืน และเผาบ้านชาวโรฮิงญาไปแล้วเป็นจำนวนมาก


ทั้งนี้ การตัดสินคดี จะต้องใช้เวลาอีกหลายปี ซึ่งขณะนี้ แกมเบีย ได้ยื่นขอให้ศาลกำหนดมาตรการชั่วคราวเพื่อปกป้องชาวโรฮิงจาในเมียนมาและประเทศอื่นๆ จากภัยคุกคามหรือความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น


นอกจากนี้ หากผลตัดสินมีความผิด นาง ออง ซาน ซู จี และ กองทัพจะไม่ถูกจับกุม หรือ โดนไต่สวน แต่การพิจารณาคดีอาจนำไปสู่การคว่ำบาตร ทั้งยังอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียง และเศรษฐกิจที่สำคัญต่อเมียนมาต่อไป


อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ศาลโลกมีการขึ้นบันลังค์พิจารณาคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์



ที่มาของคลิป: VOA Thai
https://www.youtube.com/watch?v=bIfWFBpRMjk
ที่มาของข้อมูล:
https://workpointnews.com/…/myanmar-justice-rohingya-genoc…/
https://www.bbc.com/thai/international-50743093
https://news.thaipbs.or.th/content/287002

Tuesday, December 10, 2019

ชำแหละ 9 ข้อบิดเบือนข้อมูลของกลุ่มอปพส.



ชำแหละทีละข้อ!!! นายสายัณห์ สุขจันทร์ ประธานศูนย์พิทักษ์ธรรม ออกมาไลฟ์สดผ่านเฟสบุ๊กส์ส่วนตัวชื่อ สายัณห์ สุขจันทร์ ชี้แจงความเป็นจริงจากกรณีที่กลุ่มอปพส. เกณฑ์คนไปป่วนงานพิธีเปิดมัสยิดมุกดาหาร โดยทางกลุ่มยื่นหนังสือเรียกร้องให้จุฬาราชมนตรีจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่มีทั้งหมด 9 ข้อด้วยกัน



ที่มาของคลิปวีดีโอ:
ซักค้าน ข้อหา 9 ข้อของ อปพส ต่อมุสลิมไทย:
https://www.youtube.com/watch…

ข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
🎥 กลุ่มอปพส. เกณฑ์พวกต่อต้านอิสลามป่วนพิธีงานเปิดมัสยิดมุกดาหาร 1/2
https://www.facebook.com/muslim.aof/posts/2179723948988648
🎥กลุ่มอปพส. เกณฑ์คนป่วนงานพิธีเปิดมัสยิดมุกดาหาร 2/2
https://www.facebook.com/muslim.aof/posts/2179884348972608

Monday, December 9, 2019

กลุ่มอปพส. เกณฑ์คนป่วนงานพิธีเปิดมัสยิดมุกดาหาร 2/2



กลุ่มอปพส.ที่นำโดยนายอัยย์ เพชรทอง เลขาธิการกลุ่ม ได้มาชุมนุมประท้วงถือป้ายผ้า "ชาวมุกดาหาร ขอตรวจสอบความถูกต้อง การก่อสร้างมัสยิด, ชาวมุกดาหาร ขออยู่อย่างสงบเราไม่ต้องการมัสยิด, ชาวชุมชนศรีพัฒนาไม่เอามัสยิด, ชาวมุกดาหารไม่เอามัสยิด" และมีการยื่นหนังสือเรียกร้อง 9 ข้อต่อจุฬาราชมนตรี ขณะที่จุฬาฯ มาเป็นประธานเปิดงานมัสยิดมุกดาหาร


หนึ่งในแกนนำประท้วงกลุ่มกล่าวอย่างแข็งกร้าวกับตัวแทนจุฬาฯ ที่มารับหนังสือร้องเรียนว่า "...การดำเนินการวิถีมุสลิม แต่ประเทศไทยนี้ ไม่ใช่ใช้กฏหมายอิสลามปกครอง ดังนั้นผมเรียนนะครับว่ากฏหมายอิสลามมิได้ใช้ปกครองประเทศไทย เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเข้าใจตามนั้น"


อ.สุธรรม บุญมาเลิศ เลขาธิการสำนักจุฬาฯ กล่าวกับแกนนำประท้วงกลุ่มอปพส.ว่า ทางจุฬาราชมนตรีจะไปปรึกษาหารือดูข้อต่างๆ ที่ทางคุณต้องการ ความน่าจะเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน และเราจะได้แจ้ง อาจจะผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัด ให้ได้รับทราบ"


ส่วนทางด้านนายอัยย์ เพชรทอง กล่าวเสริมว่า "ผมในฐานะเลขาธิการอปพส. ขอยืนยันว่าไม่เคยต่อต้านศาสนาอิสลาม เพราะผมมีเพื่อนอิสลามที่ดีเยอะแยะมากมาย...."


แต่คำพูดของนายอัยย์ ย้อนแย้งกับการกระทำของตัวเองเป็นอย่างมาก ปากบอกว่าไม่เคยต่อต้านอิสลาม แต่เกณฑ์คนมาถือป้ายไม่เอามัสยิด ตัวนายอัยย์เองก็ได้สร้างเพจปลุกระดมคนพุทธด้วยการสร้างเพจเสนอข้อมูลข่าวปลอม ปลุกปั่นให้ชาวไทยพุทธเกลียดชังชาวไทยมุสลิมอย่างต่อเนื่อง



ที่มาของคลิป: สำนักข่าวเฟสบ
https://www.facebook.com/watch/?v=897561983978731
.
ข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้:
🎥 กลุ่มอปพส. เกณฑ์พวกต่อต้านอิสลามป่วนพิธีงานเปิดมัสยิดมุกดาหาร 1/2
https://www.facebook.com/muslim.aof/posts/2179723948988648

กลุ่มอปพส.นำพวกป่วนงานพิธีเปิดมัสยิดมุกดาหาร 1/2



กลุ่มอปพส. ที่อ้างว่าเป็นกลุ่มที่ออกมาปกป้องศาสนาพุทธ ระดมพรรคพวกจำนวน 20 คน เข้ามาป่วนงานพิธีเปิดมัสยิดมุกดาหาร ซึ่งมีจุฬาฯ และคณะร่วมอยู่ในงาน และยื่นหนังสือให้ตัวแทนจุฬาฯ โดยทางกลุ่มมีข้อเสนอที่บิดเบือนความเป็นจริงอยู่ 9 ข้อเช่นขอให้ทางสำนักจุฬาฯ ช่วยปราบปรามกลุ่มก่อการร้าย BRN RKK และกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงๆ ต่าง ให้หยุดการกระทำที่เหี้ยมโหดทุกกรณ๊ในทันที

อ.สุธรรม บุญมาเลิศ เลขาธิการสำนักจุฬาฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวไวท์ชาแนลว่า จากการถามคนในพื้นที่ พวกที่มาประท้วงไม่ใช่คนมุกดาหาร มี ส.ส.ไปพูด ส.ส.มุสลิมน่าจะทำหน้าที่ออกมาปกป้อง เสนอรายละเอียดที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง



อ.สุธรรม ยังได้มีการเน้นย้ำว่า มัสยิดมุกดาหารสร้างจากเงินบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาชาวมุสลิม และทางมัสยิดเองไม่เคยได้รับงบประมาณใดๆ เลยจากทางการ


ที่มาของคลิป: สำนักข่าวไวท์ชาแนล
https://www.facebook.com/WhiteNewstv/videos/609527406521844/?v=609527406521844


Thursday, November 21, 2019

หญิงมุสลิมท้องแก่ถูกชายออสซี่กระหน่ำชกไปที่ศีรษะ แถมยังกระทืบซ้ำไปที่หน้าของนางอีก




หญิงมุสลิมตั้งครรภ์ได้ 8 เดือนครึ่ง วัย 31 ปี กำลังนั่งทานขนมกับเพื่อนมุสลิมหญิงอีก 2 คนที่ร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งในตอนกลางคืนของวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งร้านตั้งอยู่บนเชริช์ สตรีท พารามาต้า นครซิดนีย์


ชายชาวออสซี่ที่เป็นคนร้ายคนดังกล่าวเดินเข้ามาในร้าน และตรงดิ่งเข้าไปยังโต๊ะหญิงมุสลิมทั้ง 3 คน มีรายงานว่า คนร้ายไม่ได้รู้จักกับหญิงทั้ง 3 คนมาก่อน เริ่มใช้คำพูดด่าทอเกี่ยวกับเรื่องศาสนาอิสลาม ก่อนที่จะเอื้อมตัวกระหน่ำชกไปที่ศีรษะของหญิงมุสลิมคนที่ท้องแก่แบบไม่ยั้ง จนกระทั่งนางล้มลงไปกับพื้น และเขายังกระทืบซ้ำไปที่ศีรษะอีกหลายครั้ง จนกระทั่งมีคนในร้านเริ่มเข้ามาช่วยนาง และเพื่อนที่นั่งโต๊ะเดียวกันใช้เก้าอี้ฟาดไปที่ชายคนร้าย คนที่อยู่ในร้ายได้ช่วยกันจับตัวคนร้ายเอาไว้ แล้วโทรแจ้งตำรวจให้มาจับตัวไป


ส่วนทางด้านหญิงมุสลิมท้องแก่ผู้นี้ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเวสมี๊ด และวันนี้ออกจากโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว


Luke Sywenkyj สารวัตสอบสวนประจำรัฐนิวเซาท์เวลส์ ได้ให้สัมภาษณ์ผุ้สื่อข่าวเมื่อเช้านี้ว่า หญิงมุสลิมคนดังกล่าวมีแผลฟกช้ำ และมีอาการบวม


คนร้ายคือ นาย Stipe Lozina อายุ 43 ปี ถูกนำตัวขึ้นศาลท้องถิ่นในพารามาต้าในวันนี้ (21/11/2019) ข้อหาก่อเหตุทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกาย ศาลยังได้ปฏิเสธการให้ประกันตัว นาย Lozina มีประวัติอาชญกรรมอยู่หลายคดี และต้องขึ้นศาลอีกหลายครั้ง


สารวัตรสอบสวน Sywenkyj ยังได้ยกย่องคนที่อยู่ในร้านค่าเฟ่ที่เข้าไปช่วยจับคนร้ายเอาไว้ และส่งตัวให้ตำรวจ “หากไม่ใช่เพราะการกระทำที่กล้าหาญของคนในร้านที่ช่วยกันจับคนร้ายได้ทันท่วงที เหยื่ออาจได้รับบาดเจ็บสาหัสมากไปกว่านี้แน่นอน”


รายงานที่จัดทำขึ้นโดยกลุ่ม The Islamophobia Register เปิดเผยว่า อิสลามโมโฟเบีย หรือโรคหวาดกลัวอิสลามในออสเตรเลียช่วงปี 2016 – 2017 โดยทางองค์กรได้รับรายงานจากเหยื่อที่ถูกด่าทอ หรือทำร้าย โดยมีการแจ้งเข้ามาเป็นจำนวน 349 ครั้ง ซึ่งผู้ที่เป็นเหยื่อ 96 เปอร์เซนต์เป็นผู้หญิงและเด็กที่สวมใส่ฮิญาบ โดยส่วนใหญ่เป็นในลักษณะการพูดจาด่าทอเพราะดูการแต่งกายแบบหญิงชาวมุสลิม เป็นการด่าทอในที่สาธารณะ ในโลกออนไลน์ ซึ่งหญิงมุสลิมบางรายก็ถูกทำร้ายร่างกายในที่สาธารณะ แต่หลายครั้งไม่ได้รับการช่วยเหลือ


ผู้ที่โจมตีหญิงมุสลิมและเด็กหญิงส่วนใหญ่เป็นผู้ชายชาวแองโกล-แซกซัน ซึ่งเป็นพวกคนผิวขาวที่มีเชื้อสายอังกฤษ หรือพวกชาวยุโรปที่มีที่พำนักอาศัยอยู่ในออสเตรเลีย



ที่มาของข้อมูล –
https://www.9news.com.au/…/e6a09d38-2208-4591-980b-afe5ef29…

Tuesday, November 19, 2019

ผลสรุปไม่พบ DNA ในปอเนาะลำใหม่ว่า มีความเชื่อมโยงกับผู้ก่อเหตุยิง ชรบ.ลำพะยา



หลังจากพันเอกปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกอ.รมน. ภาค 4 ออกมาโต้แย้งกรณีที่มีสื่อไปสัมภาษณ์นายสะมะแอ ฮารี ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา และเจ้าของรร.พัฒนาอิสลามวิทยา หรือปอเนาะลำใหม่ โดยออกมายืนยันว่า ผ้าโสร่งที่ยึดไปเป็นหลักฐาน ไม่ใช่เปื้อนรอยยางกล้วยอย่างที่ผอ.มะสบรี รร.ปอเนาะลำใหม่ กล่าวกับผู้สื่อข่าว แต่โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ยืนยันว่าเป็นเลือดคนหรือเลือดสัตว์ และได้ส่งหลักฐานดังกล่าวไปที่ตรวจพิสูจน์ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กทม. โดยจะทราบผลภายใน 1 สัปดาห์


ซึ่งภายในวันเดียวกันนี้เอง (18/11/2562) ผลตรวจ DNA ที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคง เข้าไปค้นและเก็บ DNA ทั้งนักเรียนและครูสอนศาสนาจากรร.พัฒนาอิสลามวิทยา ออกมาแล้วว่า ไม่มีคนไหนที่ไปเชื่อมโยงกับ DNA ในที่เกิดเหตุที่ถล่มจุดตรวจ ชรบ. ลำพะยา ยะลา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 15 ราย



ที่มา – Thai PBS ศูนย์ข่าวภาคใต้
https://www.facebook.com/watch/?v=589124378561110
 ข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้:
🎬 ข้อมูลอ้างอิงที่รายการข่าว3มิติเสนอข่าวการสัมภาษณ์นายสะมะแอ ฮารี ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา และผู้อำนวยการของโรงเรียน ออกอากาศเมื่อวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562:
https://www.facebook.com/watch/?v=741449793024785

#หนังคนละม้วน!






เมื่อวันจันทร์ที่ 18 พ.ย. 2562 พันเอก ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ได้ชี้แจงถึงกรณีที่สื่อเสนอข่าวคำสัมภาษณ์นายสะมะแอ ฮารี ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา และผู้ได้รับใบอนุญาต รร.พัฒนาอิสลามวิทยา หรือปอเนาะลำใหม่ ที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นโรงเรียน เมื่อวันจันทร์ที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยการเสนอข่าวมีข้อมูลไม่ตรงกันกับทางกอ.รมน.ภาค 4 อยู่หลายเรื่อง

  -  พันเอกปราโมทย์กล่าวว่า พบโสร่งที่มีรอยคล้ายเปื้อนเลือดตกอยู่ระหว่างบ้านพักครู 2 หลัง สอบถามไม่มีใครรับเป็นเจ้าของ จนท.จึงเก็บโสร่งไปเป็นเหลักฐาน และตรวจ DNA อุสตาสที่เป็นเจ้าของบ้านทั้ง 2 คนคือ นายยูโส้ะ เด็นอะสัน และนายซูบกิฟลี ฮารี ส่วนทางด้านนายมะสบรี ฮารี ผู้อำนวยการรร.ปอเนาะ ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวด้วยการโชว์ผ้าโสร่งให้นักข่าวดู กล่าวว่า “ผ้าที่อยู่ที่บ้านที่เขาใช้อาบน้ำ  เขา(ไม่ได้ระบุชื่อเจ้าของ แต่แสดงให้เห็นว่าผ้าโสร่งชิ้นนี้มีคนรับว่าเป็นเจ้าของ)  ชี้แจงว่าไม่ใช่เลือด เป็นยางของต้นกล้วย แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่เชื่อ”

  - โฆษก กอ.รมน. ภาค 4 ยืนยันว่า ไม่ใช่เป็นยางกล้วยตามที่มะสบรี ฮารี ผอ.รร.ปอเนาะลำใหม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อ โดยปัจจุบันจนท.ได้ส่งหลักฐานดังกล่าวไปตรวจพิสูจน์ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กทม. โดยจะทราบผลภายใน 1 สัปดาห์  สื่อถามผอ.มะสบรี รร.ปอเนาะลำใหม่ว่า เขานำผ้าไปตรวจสอบไหมในวันนั้น? ผอ.บอกว่า เขานำไปตรวจสอบแล้วนำมาคืน พร้อมโชว์ผ้าโสร่งที่มีรอยเปื้อน และถุงพาสติกใสที่มีซิปล็อคให้สื่อดู

โฆษก กอ.รมน. ภาค 4 กล่าวว่า มีการประสานขอความร่วมมือและแจ้งวัตถุประสงค์ให้ผอ. โรงเรียนทราบล่วงหน้าแล้ว และได้รับอนุญาตแล้ว จึงได้แจ้งให้ชุดนิติวิทยาศาสตร์เข้าไปตรวจเก็บหลักฐานดังกล่าว ไม่ได้ใช้อำนาจตามกฏหมายพิเศษที่มีอยู่เข้าไปข่มขู่ ขู่เข็ญ และคุกคามบุคลากร และนักเรียนแต่อย่างใด 
ทางด้านผอ.ปอเนาะลำใหม่ ได้ระบุชื่อหน่วยงานซีเอสไอ ที่พวกเขารู้สึกว่าเหมือนเข้ามาในโรงเรียนแบบจู่โจม แล้วบาบอก็รู้สึกเสียใจกับพฤกติกรรมของซีเอสไอ


ที่มา –
อ่านข่าวนี้ได้ทั้งหมดที่เพจ The Reporters:
https://www.facebook.com/TheReportersTH/posts/2464375403812845
🎬 ข้อมูลอ้างอิงที่รายการข่าว3มิติเสนอข่าวการสัมภาษณ์นายสะมะแอ ฮารี ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา และผู้อำนวยการของโรงเรียน ออกอากาศเมื่อวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2562:


Sunday, November 17, 2019

โสร่งที่จนท.ฝ่ายความมั่นคงยึดอุสตาสไป ผลสอบเป็นคราบยางกล้วย ไม่ใช่คราบเลือด



ผลตรวจสอบผ้าโสร่งที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยึดไปเป็นหลักฐานในระหว่างการเข้าควบคุมตัวอุสตาส ยืนยันตรงกับคำให้การของอุสตาสว่า ไม่ใช่คราบเลือด แต่มันเป็นแค่คราบ ‘ยางของต้นกล้วย’ ซึ่งตอนแรกจนท.ก็ไม่เชื่อคำให้การของอุสตาส


เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงบุกตรวจค้นโรงเรียนพัฒนาอิสลามวิทยา ตำบลลำใหม่ อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา เพื่อขอตรวจดีเอ็นเอนักเรียน 20-30 คน พร้อมควบคุมตัวอุสตาสหรือครูสอนศาสนาชื่อ นายสูดิน เจะแว จากบ้านพักหลังโรงเรียน โดยทางเจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ไม่ได้เชิญตัวจากโรงเรียนอย่างที่เป็นข่าว และทางโรงเรียนก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี


หลังการตรวจค้นเจ้าหน้าที่หัวหน้าชุดก็รายงานให้ทางโรงเรียนทราบว่า การตรวจค้นไม่พบสิ่งที่ผิดกฏหมายแต่อย่างใด


นายสะมะแอ ฮารี ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดยะลาที่เป็นเจ้าของโรงเรียนพัฒนาอิสลามวิทยา กล่าวว่า รู้สึกกังวลและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน หน่วยงานที่มาคือหน่วยงานซีเอสไอ โดยเข้ามาในรูปแบบจู่โจม มีหน้าที่แข็งกร้าว และไม่มีการแจ้งวัตถุประสงค์ในการเข้ามาตรวจค้นโรงเรียนในครั้งแรก


ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดยะลายังมีการยืนยันว่า ในการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยึดหลักฐานผ้าโสร่งของอุสตาสที่ถูกควบคุมตัวไปนั้น ที่ทางเจ้าหน้าที่สงสัยว่าเป็นเลือด แต่ทางอุสตาสก็ยืนยันว่าเป็นเพียงแค่ ‘ยางกล้วย’ เจ้าหน้าที่ก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อไปตรวจผลการตรวจยืนยันว่าไม่ใช่เลือด เพราะฉะนั้นขอให้หน้าที่ตรวจสอบหลักฐานให้ถูกต้องก่อนตรวจค้น เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายและประชาชนในพื้นที่หวาดระแวงเจ้าหน้าที่


“ผ้าที่อยู่ที่บ้านที่เขาใช้อาบน้ำ อุสตาสชี้แจงว่าไม่ใช่เลือด เป็นยางของต้นกล้วย เขาไม่เชื่อ ซีเอสไอไม่รู้จริงหรือเปล่าที่ทำงานอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ชาวบ้านก็หวาดผวาอีกแหละ เขานำไปตรวจสอบและเอามาคืน ถ้าหน่วยงานซีเอสไอทำอย่างนี้ก็แย่ เปรียบเสมือนมีอะไรเราก็ผิดตลอดน่ะ” นายมะสบรี ฮารี ผู้อำนวยการโรงเรียนพํฒนาอิสลามวิทยา ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวรายการข่าว 3 มิติของสถานีช่อง 3


นายสมะแอกล่าวว่า ก็ยืนยันว่าที่ผ่านมาก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยตลอด ถ้าต้องการสิ่งใดก็ขอให้พูดคุยกันด้วยความจริงใจ เพราะหลังเกิดเหตุความไม่สงบ ทางโรงเรียนปอเนาะก็ตกเป็นจำเลยของสังคมว่าเป็นแหล่งซ่องสุม ให้ที่พักกับกลุ่มคนร้าย ทำให้คนภายนอกที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงจะยิ่งมีการเข้าใจผิด จึงอยากให้หน่วยงานภาครัฐชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนให้ทราบถึงขั้นตอนการปฏิบัติงาน




ที่มา –
ข่าว3มิติ
https://www.facebook.com/watch/?v=741449793024785

🎬 ข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ผบ.ฉก.ยะลา เดินทางมาด้วยตัวเอง เพื่อยืนยันผลตรวจ DNA กับสามีภรรยาในกรณีผ้าก็อตทำแผล ที่ใช้ทำแผลให้แม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งจริง ไม่ใช่ของผู้ต้องสงสัยที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไป ซึ่งอยู่บ้านตรงข้ามกัน
https://www.facebook.com/watch/?v=2433886446822829
🎬 ผู้ใหญ่บ้านบ้านต้นหยี ออกมาปกป้องลูกบ้านที่ถูกทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงควบคุมตัวไปว่าพวกเขาบริสุทธิ์
https://www.facebook.com/watch/?v=953137738400275
🎬 ชาวบ้านต้นหยี ยืนยันผ้าก๊อตพันแผลที่เจ้าหน้าที่ยึดไปได้ เป็นของผู้ป่วยมะเร็ง ไม่ใช่ของผู้ต้องสงสัย
https://www.facebook.com/TheReportersTH/videos/465403587662990/

Thursday, November 14, 2019

รัฐอิสราเอลทิ้งระเบิดถล่มบ้าน สังหารยกครัวชาวปาเลสไตน์ 8 ศพ



รัฐก่อการร้ายอิสราเอลทิ้งระเบิดถล่มบ้าน สังหารคนในครอบครัวไปทั้งหมด 8 คน รอดชีวิตเพียงทารกคนเดียว

เครื่องบินรบของรัฐก่อการร้ายอิสราเอลพุ่งเป้าทิ้งระเบิดถล่มบ้านอัสซอวัรเกาะฮฺ ตอนเวลาตี 1.15 น. ขณะที่ทั้งครอบครัวกำลังนอนหลับพักผ่อนกันอยู่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 8 ราย และมีทารกวัย 35 วันรอดชีวิตภายใต้อ้อมแขนของพี่ชายที่นอนเสียชีวิตอยู่ในบ้าน


กระทรวงสาธารณสุขในกาซ่า ได้ระบุชื่อผู้เสียชีวิต: 1. นายรอซมีย์ อบูมัลฮุส อายุ 45 ปี 2. นางมัรยัม อบูมัลฮุส อายุ 35 ปั 3. นางยุซรอ อบูมัลฮุส อายุ 39 ปี 4. ด.ช. วะซีม อบูมัลฮุส อายุ 13 ปี 5. ด.ช.มุฮันน๊าด อบูมัลฮุส อายุ 13 ปี 6. ด.ช. มุอ๊าซ อบูมัลฮุส อายุ 7 ขวบ


ส่วนศพของเด็กอีก 2 รายคือ 7. ด.ช.ซาลิม และ 8. ด.ช. ฟิร็อซ อบูมัลฮุส ถูกนำร่างออกจากซากปรักหักพังในช่วงตอนเช้า


มีสมาชิกคนในครอบครัวอีก 12 คนได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ รวมทั้งเด็กทารกวัยเพียง 35 วันที่รอดชีวิตมาได้ โดยถูกพบในอ้อมแขนของมูฮันน๊าด ซึ่งเป็นพี่ชายของเด็ก ที่นอนเสียชีวิตอยู่


ณ ตอนนี้ ยอดเสียชีวิตของชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่ามีทั้งหมด 34 ราย และบาดเจ็บ 111 คน หลังจากอิสราเอลเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีทิ้งระเบิดถล่มใส่บ้านของผู้บัญชาการระดับสูงของกลุ่มอิสลามมิกญิฮาด ขณะที่พวกเขานอนหลับอยู่ในตอนตี 4 ของวันอังคารทีผ่านมา และทางกลุ่มเองก็ได้ส่งจรวดตอบโต้กลับไปมากกว่า 400 ลูก ทางอิสราเอลเองส่งเครื่องบินรบ โดรน และยิงปืนใหญ่มุ่งเป้าไปที่บ้านเรือนของชาวปาเลสไตน์ โรงเรียน พื้นที่การเกษตร พื้นที่การประมง ฟาร์มสัตว์ และสวนผัก


ล่าสุด ทั้งกลุ่มอิสลามมิก ญิฮาดและรัฐอิสราเอล ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง หลังสู้รบกันอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 2 วัน ซึ่งมีผลบังคับใช้เริ่มตั้งแต่เวลา 5.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันพฤหัส 14/11/2019

คลิปวีดีโอ - https://twitter.com/ShehabAgency/status/1194771210955046913

ที่มาของข้อมูล –
https://www.middleeastmonitor.com/20191114-israel-kills-8-…/

กองทัพอิสราเอลสังหารเด็กกาซ่า 50 คน ภายใน 2 วัน

แคทเธอรีน รัสเซลล์ ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรยูนิเซฟ UNICEF ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีที่นองเลือดในฉนวนกาซาเหนือเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย...