Friday, November 9, 2018

ณ ค่ายกักกัน: ชาวอุยกูร์ถูกรัฐบาลจีนบีบบังคับให้ทานหมู ดื่มเหล้า และออกจากอิสลาม


นายโอมัร บิคาลีย์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เล่าถึงประสบการณ์ที่เลวร้าย ขณะที่เขาที่ถูกกักกันตัวในค่ายกักกันแห่งหนึ่งในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์

นายโอมัร บิคาลีย์ เกิดในจีนเมื่อปี 1976 (อายุ 42 ปี) ทั้งบิดาและมารดาเป็นชาวอุยกูร์ เขาย้ายไปอยู่ที่คาซัคสถานเมื่อปี 2006 และได้สัญชาติหลังจากนั้น 3 ปี เขาได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ปีที่แล้ว โอมัรผ่านด่านตำรวจและยื่นบัตรประชาชนของจีนใบเก่าที่เขายังเก็บไว้อยู่ วันต่อมาตำรวจ 5 นายพร้อมอาวุธครบมือมาที่บ้านครอบครัว และได้เข้าจับกุมตัวเขาไป โอมัรไม่สามารถโทรศัพท์หาคนในครอบครัวหรือทนายได้ ส่วนตำรวจเองยังพูดอีกกับเขาด้วยว่ามันเป็นคดีพิเศษ


ขณะที่อยู่ที่ค่ายกักกัน โอมัรสังเกตเห็นผู้ถูกกักกันบางคนใส่ชุดนักโทษสีฟ้าเข้ม ส่วนเขาถูกให้ใส่ชุดสีส้ม ซึ่งหมายถึงเขาเป็นนักโทษทางการเมือง เริ่มแรกเขาถูกจับให้ไปอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังอีก 40 คน ซึ่งมีผู้ถูกกักกันที่มีอาชีพครู แพทย์ และนักเรียน มีการแยกชายแยกหญิง


อามิรถูกทรมานด้วยการจับมัดทั้งข้อมือและข้อเท้ากับเก้าอี้เสือ (Tiger chair) อย่างแน่นหนา “พวกเขายังจับผมกางแขนออกจากกันแล้วมัดข้อมือเอาไว้ จากนั้นก็แขวนผมไว้กับกำแพงในระดับที่ขาลอยจากพื้นเป็นเวลา 4 วัน และ 4 วันที่พวกเขาไม่ให้ผมหลับเลย ผมถูกทรมาน ผมยังถูกมัดเท้าทั้งสองข้างไว้กับเตียงนอนอย่างแน่นหนา ผมขยับตัวไม่ได้เลย”


เมื่อโอมัรปฏิเสธที่ปฏิบัติตามคำสั่งในแต่ละวันที่ค่ายกักกัน เขาถูกบังคับให้ยืนติดกำแพงเป็นเวลา 5 ช.ม.ในแต่ละครั้ง อีกสัปดาห์ต่อมาโอมัรถูกส่งตัวไปขังเดี่ยว ซึ่งเขาไม่ได้ทานอะไรเลยเป็นเวลา 24 ช.ม. ใน 20 วันต่อมาเขาถูกส่งไปยังค่ายที่มีเจ้าหน้าที่คุ้มกันอย่างแน่หนา


และเขาต้องการฆ่าตัวตายที่นั่น “แรงกดดันทางจิตใจมีอย่างมหาศาลเลย คุณต้องตำหนิตัวคุณเอง ประณามความคิดและประณามชาติพันธ์ของคุณเอง” โอมัรร้องไห้โฮออกมา ขณะที่เขาเล่าประสบการณ์ที่ขมขื่นที่สุดในชีวิต ณ ค่ายกักกัน “ผมยังคงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในค่าย ผมคิดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งฟ้าสาง ผมนอนไม่หลับเลยจริงๆ ความคิดเหล่านั้นมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา”


ผู้ถูกกักกันทั้งหมดต้องตื่นนอนพร้อมกันก่อนรุ่งเข้า แล้วจะมีการร้องเพลงชาติและชักธงชาติขึ้นเสาในเวลา 7.30 น. จากนั้นก็ไปรวมตัวกันในชั้นเรียนที่มีขนาดใหญ่ เพื่อจะเรียนเพลงต่างๆ เช่น “ปราศจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน เราก็จะไม่มีประเทศจีน” และเรียนรู้ภาษาจีนกลางและประวัติศาสตร์จีน เราถูกบังคับให้พูดใส่หัวของพวกเราว่า ชาวพื้นเมืองอุยกูร์ที่เคยเป็นพวกเลี้ยงแกะนั้นเป็นพวกที่ล้าหลังสิ้นดี และเคยถูกกดขี่ข่มเหงเยี่ยงทาสก่อนที่พรรค


คอมมิวนิสต์จีนมาช่วยปลดปล่อยชาวอุยกูร์ให้เป็นอิสระในช่วงปี 1950 ก่อนอาหารที่มีซุปผักและซาลาเปา พวกเราจะถูกสั่งให้ตะโกนว่า “ขอขอบคุณพรรคคอมมิวนิสต์ ขอบคุณแผ่นดินเกิด ขอบคุณประธานาธิบดีสี จิ้นผิง”


นายโอมัรถูกปล่อยตัวออกจากค่ายกักกันหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในค่ายนั้นเป็นเวลา 7 เดือนด้วยกัน โดยเจ้าหน้าที่จากสถานฑูตคาสัคสถานได้เข้ามาแทรกแซงเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว ตอนแรกเขาไม่ต้องการให้สัมภาษณ์กับสื่อใดๆ เพราะกลัวความปลอดภัยของครอบครัวที่ยังอาศัยอยู่ในซินเจียง แต่แล้วตำรวจก็จับกุมตัวน้องสาวชื่ออาดิละฮฺไป เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ปีนี้ อีกอาทิตย์ต่อมา ตำรวจได้มาจับกุมตัวมารดาคืออามีนะฮฺ ซอดิ๊กไปเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ตำรวจยังกลับมาจับบิดาคืออิบรอฮีมไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม จากนั้นโอมัรเปลี่ยนใจตัดสินใจออกมาเล่าประสบการณ์ที่ขมขื่นที่ค่ายกักกันในซินเจียงให้ชาวโลกได้รับรู้ “เรื่องมันมาไกลขนาดนี้แล้ว ผมไม่มีอะไรที่จะเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว”



นายเครัต สะมากาน อดีตผู้กักกันในค่ายกักกันแห่งหนึ่งในซินเจียง ได้ให้สัมภาษณ์กับเดอะโพสว่าเขาถูกกักกันตัว 3 เดือนหลังจากเดินทางกลับมาจากคาสัคสถาน “ที่ค่ายกักกันเราถูกสอนให้ร้องเพลงชาติจีน ให้มีการสรรเสริญเหมา เจ๋อตุง สอนให้ร้องเพลงที่ปราถนาให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีอายุยืนยาวเป็นพันๆ ปี และเรียนประวัติศาสตร์ของจีน” ทั้งโอมัรและเครัตต่างพูดตรงกันว่า เจ้าหน้าที่จะบังคับผู้ถูกกักกันให้ดื่มแอลกอฮอร์และทานหมูเพื่อเป็นการทำโทษ และมีการถูกบังคับให้ออกจากศาสนาอิสลามด้วยคำพูดต่างๆ ที่ดูหมิ่นต่อศาสนา

อดีตผู้ถูกกักกันตัวหลายคนต่างพูดตรงกันว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของโปรแกรมปรับทัศนคติคือ การที่พวกเขาถูกบังคับให้พูดซ้ำๆ ของสโลแกนต่างๆ ติดต่อกันหลายชั่วโมง และให้มีการตำหนิตัวเอง “เราจะต่อต้านพวกสุดโต่ง เราจะต่อต้านการแบ่งแยกแผ่นดิน เราะจะต่อต้านการก่อการร้าย” มีการเรียนติดต่อกัน 4 ชั่วโมง อาจารย์ผู้สอนได้มีการบรรยายเกี่ยวกับ ‘ภัยอันตรายในศาสนาอิสลาม’ อาจารย์ผู้สอนถามผู้ถูกกักกันซ้ำๆ ว่า “คุณจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามกฏหมายจีนหรือกฏชาริอะฮฺกันแน่ คุณเข้าใจหรือยังว่าทำไมศาสนาถึงเป็นอันตรายต่อพวกคุณ?” แล้วมีการบังคับให้ผู้ถูกกักกันต้องทำบททดสอบ พวกเขาต้องทำให้ถูกทั้งหมด ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกส่งไปยืนติดกำแพงเป็นเวลานับหลายชั่วโมง
โอมัรเล่าให้ฟังว่า ผู้ถูกกักกันแต่ละคนต้องยืนขึ้นกลางชั้นเรียนที่มีผู้เข้าเรียนอยู่ด้วยกัน 60 คน โดยที่พวกเขาจะต้องพูดเรื่องประวัติศาสตร์อิสลามในทำนองตำหนิติเตียน ผู้ถูกกักกันต้องมีการตำหนิผู้ถูกกักขังคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน คนที่ลอกเลียนแบบคำพูดของเจ้าหน้าที่ได้ดี หรือตำหนิผู้ถูกกักกันคนอื่นอย่างรุนแรง จะได้รับคะแนนเพิ่มและจะถูกทำเรื่องย้ายให้ไปอยู่ค่ายกักกันที่สุขสบายมากกว่าที่อยู่ในปัจจุบัน

หญิงอุยกูร์คนหนึ่งที่ไม่ต้องการออกนามเล่าให้สำนักข่าวเอพีฟังว่า หล่อนได้ถูกส่งตัวไปยังศูนย์กักกันที่เหอเถียนในปี 2016 (2 ปีที่แล้ว) ทั้งหล่อนและเพื่อนผู้กักกันที่เป็นหญิงล้วนคนอื่นๆ ถูกบังคับให้ขอโทษขอโพยอยู่ซ้ำๆ ที่เลือกแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลาม ขอโทษที่เคยละหมาด ขอโทษที่เคยสอนกุรอานให้ลูกๆ และขอโทษที่ขอให้อีหม่ามตั้งชื่อลูกให้เป็นภาษาอาหรับ พวกเขาถูกบังคับให้พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “เราได้ทำในสิ่งที่ผิดกฏหมาย ตอนนี้เรารู้มากกว่าเดิมแล้ว”


กลางปีค.ศ. 2017 (ปีที่แล้ว) ชาวอุยกูร์ที่รู้กันดีในนามว่า เอลดุส เคยเป็นผู้ประกาศข่าวที่สถานีทีวีของซินเจียงมาก่อน ถูกรัฐบาลจีนว่าจ้างให้สอนประวัติศาสตร์จีน เนื่องจากสามารถพูดภาษาจีนกลางได้ เขาได้เล่าว่าค่ายปรับทัศนคติแบ่งเป็น 3 กลุ่ม – กลุ่มแรกคือกลุ่มชาวนาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับได้ว่ามีตัวอักษรอาระบิกหรือมีคลิปวีดีโอบรรยายศาสนาอิสลามบนมือถือ ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่เคยไปเรียนศาสนาอิสลามในต่างประเทศ ซึ่งกลุ่มหลังสุดจะถูกจำคุกเป็นเวลา 10 -15 ปี เมื่อปีที่แล้วนักศีกษาศาสนาที่ไปเรียนที่ต่างประเทศถูกรัฐบาลจีนสั่งให้กลับประเทศโดยด่วน รวมทั้งผู้ที่ไปเรียนศาสนาที่ประเทศอียิปต์ ทั้งยังมีการกดดันรัฐบาลอียิปต์ให้มีการไล่ล่าและส่งตัวนักศึกษาชาวอุยกูร์กลับจีน ถ้าพวกเขาไม่ยอมกลับประเทศภายในเดือนกรกฎาคม 2017 (ปีที่แล้ว)


“ผู้ถูกกักกันถูกบังคับให้พูดซ้ำๆ ว่าพวกเขาสารภาพผิด จนกระทั่งพวกเขาถูกส่งตัวกลับบ้าน ซึ่งมันทำให้พวกเขาเชื่อว่าเขาติดหนี้บุญคุณประเทศ และทำยังไงก็ไม่สามารถที่จะทดแทนบุญคุณพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้หมด” “ผมได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้ถูกกักกันในทุกๆ คืน มันเป็นประสบการณ์ที่เศร้าใจที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้” เอลดุสตอนนี้หนีไปอยู่ต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว หลังจากได้มีการจ่ายสินบนกับเจ้าหน้าที่รัฐ

เมื่อเร็วๆ นี้เอง ทางกลุ่มสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอชท์ได้มีการขอสัมภาษณ์ญาติพี่น้องของผู้ถูกกักกันหลายต่อหลายคน โดยหนึ่งในจำนวนญาติเหล่านั้นเล่าว่า ครอบครัวที่ถูกรัฐบาลจีนเข้าจับกุมตัวมีอยู่ด้วยกัน 4 คน มีพ่อ แม่ และลูกที่ยังเป็นเด็ก 2 คน พวกเขาถูกส่งตัวไปยัง ‘ค่ายกักกันทางการเมือง’ ในซินเจียงตะวันตก เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังจากที่พวกเขาเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำธุรกิจ และเลยไปทำฮัจย์ด้วยในเวลาเดียวกัน ผู้ปกครองคนหนึ่งและลูกคนหนึ่งถูกปล่อยตัวให้กลับบ้าน หลังจากใช้เวลาในค่ายกักกันเป็นเวลานานถึง 3 เดือน ส่วนอีกสองคนซึ่งเป็นตัวของผู้ปกครองเองและเด็กที่เป็นลูกอีก 1 คน ทางญาติคาดว่าพวกเขายังคงถูกกักตัวอยู่ในค่ายกักกัน

ที่มาของข้อมูล -

1. https://www.independent.co.uk/news/world/asia/china-re-education-muslims-ramadan-xinjiang-eat-pork-alcohol-communist-xi-jinping-a8357966.html
2. https://www.wsj.com/articles/the-repression-of-the-uighurs-1534114124


3. https://www.hrw.org/news/2017/09/10/china-free-xinjiang-political-education-detainees

กองทัพอิสราเอลสังหารเด็กกาซ่า 50 คน ภายใน 2 วัน

แคทเธอรีน รัสเซลล์ ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรยูนิเซฟ UNICEF ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีที่นองเลือดในฉนวนกาซาเหนือเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย...