Thursday, November 22, 2018

มิชชันนารีหนุ่มอเมริกันถูกชนเผ่าพื้นเมืองระดมยิงธนูใส่ หลังพยายามเข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์



นายจอห์น อาเลน เชา เป็นมิชชันนารีหนุ่มอเมริกันวัย 27 ปี พยายามเข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์กับชนเผ่าพื้นเมืองเกาะเซนติเนลเหนือ ในประเทศอินเดีย ด้วยการจ้างชาวประมงให้ออกเรือไปส่งใกล้เกาะเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน และเขาก็ใช้เรือแคนูพายต่อไปยังเกาะนี้เพียงลำพัง


ชนเผ่าเซนติเนลลิสเป็นชาวพื้นเมืองที่ตัดขาดจากอารยธรรมสมัยใหม่อย่างสิ้นเชิง พวกเขาอาศัยบนเกาะเซนทิเนลเหนือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ในอ่าวเบงกอล ประเทศอินเดีย


ตำรวจได้เข้าจับกุมและสอบสวนสืบสวนชาวประมงทั้ง 7 คนที่ช่วยนายจอห์นข้ามไปยังเกาะเซนติเนลเหนือ ชนเผ่าเซนติเนลลิสคาดว่ามีประชาการเหลือประมาณ 150 คน และเป็นชาวเผ่าที่แยกอยู่ตามลำพังมาเป็นเวลาหกหมื่นปีแล้ว 

ชาวพื้นเมืองของเกาะเซนทิเนลเหนือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ในอ่าวเบงกอล ประเทศอินเดีย 


ทางการอินเดียเคยให้ความคุ้มครองวิถีชีวิตของคนกลุ่มนี้ โดยประกาศห้ามเข้าในระยะ 5 ก.ม.จากเกาะ แต่ข้อมูลล่าสุดจากทางองค์กรเอ็นจึโอ Survival International ที่ทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนให้กับชนเผ่าต่างๆ ทั่วโลก ได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณีการเสียชีวิตของนายเชาว่า “เรื่องโศรกนาฏกรรมนี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเลย ถ้าทางการอินเดียได้บังคับใช้กฏหมายที่คุ้มครองชาวเซนติเนลลิส และเกาะของพวกเขา เพื่อความปลอดภัยสำหรับชาวเผ่าเอง และกับคนภายนอก


“ซึ่งไม่กี่เดือนมานี้เอง ที่ทางการอินเดียได้เริ่มอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวที่เกาะนี้ได้แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดพลาดมากๆ และอาจมีส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองนี้ขึ้น”
.
.
ชาวประมงบอกกับตำรวจว่าพวกเขาเห็นนายเชาเป็นครั้งสุดท้าย ตอนที่เขาถูกชนพื้นเมืองของเกาะเซนติเนลระดมยิงธนูใส่ นายเชายังคงเดินต่อไปอีก ก่อนที่จะถูกชนพื้นเมืองนำเชือกมารัดคอแล้วลากร่างนายเชาไปตามชายหาด ทำให้ชาวประมงหวาดผวา จึงรีบแล่นเรือหนีไป ชาวประมงอ้างว่าพวกเขากลับไปวันรุ่งขึ้น พวกเขาเห็นศพชองนายเชาถูกลากไปมาและชาวพื้นเมืองเซนติเนลลิสก็ได้ใช้ทรายกลบฝังร่างเขา


ก่อนหน้าที่จะถูกตำรวจจับ ชาวประมงได้นำเรือไปจอดที่ท่าเรือแบลร์ และเล่าเรื่องนี้ให้กับบาทหลวงประจำท้องถิ่นที่ชื่ออเล็กซ์ ที่เป็นเพื่อนกับนายเชา บาทหลวงอเล็กซ์จึงติตต่อกับสถานฑูตสหรัฐฯ ในนิวเดลีเพื่อขอความช่วยเหลือในทันทีที่ทราบเรื่อง


ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวเกี่ยวกับชาวพื้นเมืองเซนติเนลลิสออกมาตั้งแต่ปี 2547 ที่มีสมาชิกของชนเผ่านี้ยิงธนูใส่เฮลิคอปเตอร์ โดยที่ทางการอินเดียส่งมาสำรวจชีวิตของชนเผ่าเซนติเนลลิสหลังเกิดสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย


ล่าสุด ทางการอินเดียได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ และเรือ ไปหาพิกัดให้แน่ชัดว่าเหตุเกิด ณ จุดใด และจนถึงเวลานี้ยังไม่พบจุดที่ศพถูกทิ้งไว้ ยอมรับว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายวันในการหาศพ

โอ้พระเจ้า ผมยังไม่อยากตาย!!!

มารดาของนายเชาได้แชร์ไดอารี่ของลูกชายที่บันทึกเรื่องราวของเขาก่อนที่จะเสียชีวิตให้กับหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเผยให้ทราบว่า นายเชามีความตั้งใจที่จะเข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์กับชาวพื้นเมืองเซนติเนลลิส


““พ่อกับแม่คงคิดว่าว่าผมบ้าไปแล้ว แต่ผมคิดว่ามันช่างคุ้มค่าจริงๆ ที่จะไปบอกกล่าวเรื่องราวของพระเยซูแก่ผู้คนเหล่านั้น ได้โปรดไปอย่าแค้นเคืองพวกเขา หรือพระเจ้า หากผมต้อวชงถูกฆ่าตาย” เขาเขียนบันทึกนี้ลงวันที่ 16 พ.ย. เป็นวันที่เขาถูกฆ่าตาย


นายเชาได้พยายามเข้าไปที่เกาะตั้งแต่วันที่ 14 – 15 พ.ย. แต่เขาต้องรีบกลับขึ้นเรือไปเพราะความกลัว โดยเขาได้เขียนเล่าในข้อความบันทึกเหตุการณ์ว่า เขาพบชนเผ่าบนเกาะจำนวนหนึ่งที่มีความสูงประมาณ 168 ซ.ม. และทาแป้งสีเหลืองบนใบหน้า มองนายด้วยความโกรธเคือง นายเชาพยายามที่จะพูดภาษาของพวกเขา และเริ่มร้องเพลงสรรเสริญพระ "พอพวกเขาเข้ามาใกล้ ผมตะโกนออกไป ผมชื่อจอห์นนะ ผมรักพวกคุณ และพระเจ้าก็รักพวกคุณด้วยเช่นกัน ผมเสียใจที่เริ่มต้นแบบตื่นตระหนกไปหน่อย เพราะผมเห็นพวกเขาเงื้อธนู ผมหยิบปลา โยนให้พวกเขา แต่อีกฝ่ายยังเดินเข้ามาหา ผมพายแบบไม่คิดชีวิตกลับไปที่เรือประมง ผมรู้สึกกลัวแต่ผิดหวังมากกว่า พวกเขาไม่ยอมรับผมทันที”


เขาเล่าเพิ่มเติมว่า เด็กต้องการยิงธนูเล็งมาที่ผม แต่กลับพลาดไปโดนคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับกั้นน้ำแทน” เขายังเขียนบันทึกอีกว่า “โอ้พระเจ้า ผมยังไม่อยากตาย”

ที่มา -

Saturday, November 17, 2018

สภาพเด็กปาเลสไตน์ที่พบร่างที่ไร้วิญญานของพี่ชายที่ถูกทหารเรืออิสราเอลยิงเสียชีวิต



ผ่านไปเพียงไม่กี่ช.ม. กองทัพอิสราเอลได้ละเมิดสัญญาหยุดยิงครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากฮามาสออกแถลงการณ์เมื่อวันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน ประกาศยอมรับข้อตกลงหยุดยิงกับอิสราเอล จากการปะทะเดือดตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน โดยอิสราเอลส่งหน่วยทหารปฏิบัติการพิเศษแอบซุ่มบุกรุกเข้าไปยังค่าน ยูนิส ตอนใต้ของแผ่นดินปาเลสไตน์ เพื่อทำการลักพาตัวนักรบกลุ่มฮามาส จนทำให้ฮามาสตอบโต้อิสราเอลอย่างหนัก


นายนาวาฟ อัล-อัตตาร์ ชาวประมงชาวปาเลสไตน์วัย 20 ปี จากเบท ลาฮิยะฮฺ ทางตอนเหนือของฉนวนกาซ่า ถูกทหารเรืออิสราเอลยิงเข้าที่หน้าท้อง ส่งผลให้นายนาวาฟเสียชีวิต ขณะที่กำลังหาปลาอยู่บริเวณ 3 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในข้อตกลงของอิสราเอลที่อนุญาตให้หาปลาได้ไม่เกิน 6 ไมล์ทะเล


แต่ทางกองทัพอิสราเอลกลับออกมาแถลงการณ์ว่า นายนาวาฟพยายามฝ่าข้ามกำแพงกั้นทะเลที่อิสราเอลสร้างขึ้นมาเพื่อปิดกั้นฉนวนกาซ่า และทหารเรือมีการยิงเตือนก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ฟัง จึงจำเป็นต้องยิงเพื่อปกป้องตนเอง


ที่มา
https://www.maannews.com/Content.aspx?id=781796

Sunday, November 11, 2018

เด็กเชื้อสายคาซัควอนขอความช่วยเหลือให้ช่วยปล่อยตัวพ่อแม่ที่ขังอยู่ในค่ายกักกันในซินเจียง




นครอัลมาตี - เด็กๆ ประมาณ 50 คนได้ถูกนำเข้าร่วมงานประชุมที่จัดขึ้นโดยกลุ่มเยาวชนอาสาสมัคร Atazhurt ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรอาสาสมัครเอกชน โดยมีการจัดขึ้นที่สำนักงานในนครอัลมาตี เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา


เด็กๆ ต่างวอนขอร้องรัฐบาลคาซัคสถานและกลุ่มสิทธิมนุษยชนนานาชาติช่วยกดดันรัฐบาลจีนให้ปล่อยตัวพ่อแม่ของเด็กๆ และเรียกร้องให้ช่วยเหลือพวกเขาในการตั้งถิ่นฐานในประเทศคาซัคสถาน
เด็กเหล่านี้ที่มีเชื้อสายคาซัคจากซินเจียง ซึ่งพ่อหรือแม่ หรือทั้งพ่อและแม่ถูกรัฐบาลจีนกักขังตัวเอาไว้ในค่ายกักกันหรือค่ายปรับทัศนคติในซินเจียง ขณะที่พวกเขาเดินทางเข้าออกประเทศจีนผ่านพรมแดนที่ติดกันระหว่างจีนกับประเทศคาซัคสถาน เพื่อไปเยี่ยมครอบครัวที่ยังอาศัยอยู่ในซินเจียง ชาวคาซัคเป็นหนึ่งในกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในซินเจียงร่วมกับชาวอุยกูร์มาเป็นเวลายาวนาน


หลังจากคาซัคสถานได้รับเอกราชจากการล่มสลายของสหาภาพโซเวียตในปี 1991 ชนชาติคาซัคหลายคนจากซินเจียงและจากหลายๆ ที่ได้รับผลประโยชน์จากการที่ประเทศคาซัคสถานเปิดกว้างให้ชนชาติคาซัคเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศอย่างถาวรได้ หลายต่อหลายคนได้รับสิทธิในการอยู่อย่างถาวรในคาซัคสถาน หรือบ้างก็ได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองของประเทศคาซัคสถาน แต่พวกเขาก็ยังคงเดินทางไปเยี่ยมเยือนญาติพี่น้องที่ยังคงอาศัยในซินเจียงอยู่เป็นประจำ


ที่มา -
https://www.rferl.org/a/children-of-ethnic-ka…/29578843.html
ข่าวที่เกี่ยวข้องกับวีดีโอนี้
ณ ค่ายกักกัน: ชาวอุยกูร์ถูกรัฐบาลจีนบีบบังคับให้ทานหมู ดื่มเหล้า และออกจาก
อิสลาม
https://www.facebook.com/…/a.14383739097…/1935338973427148/…

Friday, November 9, 2018

ณ ค่ายกักกัน: ชาวอุยกูร์ถูกรัฐบาลจีนบีบบังคับให้ทานหมู ดื่มเหล้า และออกจากอิสลาม


นายโอมัร บิคาลีย์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เล่าถึงประสบการณ์ที่เลวร้าย ขณะที่เขาที่ถูกกักกันตัวในค่ายกักกันแห่งหนึ่งในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์

นายโอมัร บิคาลีย์ เกิดในจีนเมื่อปี 1976 (อายุ 42 ปี) ทั้งบิดาและมารดาเป็นชาวอุยกูร์ เขาย้ายไปอยู่ที่คาซัคสถานเมื่อปี 2006 และได้สัญชาติหลังจากนั้น 3 ปี เขาได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ปีที่แล้ว โอมัรผ่านด่านตำรวจและยื่นบัตรประชาชนของจีนใบเก่าที่เขายังเก็บไว้อยู่ วันต่อมาตำรวจ 5 นายพร้อมอาวุธครบมือมาที่บ้านครอบครัว และได้เข้าจับกุมตัวเขาไป โอมัรไม่สามารถโทรศัพท์หาคนในครอบครัวหรือทนายได้ ส่วนตำรวจเองยังพูดอีกกับเขาด้วยว่ามันเป็นคดีพิเศษ


ขณะที่อยู่ที่ค่ายกักกัน โอมัรสังเกตเห็นผู้ถูกกักกันบางคนใส่ชุดนักโทษสีฟ้าเข้ม ส่วนเขาถูกให้ใส่ชุดสีส้ม ซึ่งหมายถึงเขาเป็นนักโทษทางการเมือง เริ่มแรกเขาถูกจับให้ไปอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังอีก 40 คน ซึ่งมีผู้ถูกกักกันที่มีอาชีพครู แพทย์ และนักเรียน มีการแยกชายแยกหญิง


อามิรถูกทรมานด้วยการจับมัดทั้งข้อมือและข้อเท้ากับเก้าอี้เสือ (Tiger chair) อย่างแน่นหนา “พวกเขายังจับผมกางแขนออกจากกันแล้วมัดข้อมือเอาไว้ จากนั้นก็แขวนผมไว้กับกำแพงในระดับที่ขาลอยจากพื้นเป็นเวลา 4 วัน และ 4 วันที่พวกเขาไม่ให้ผมหลับเลย ผมถูกทรมาน ผมยังถูกมัดเท้าทั้งสองข้างไว้กับเตียงนอนอย่างแน่นหนา ผมขยับตัวไม่ได้เลย”


เมื่อโอมัรปฏิเสธที่ปฏิบัติตามคำสั่งในแต่ละวันที่ค่ายกักกัน เขาถูกบังคับให้ยืนติดกำแพงเป็นเวลา 5 ช.ม.ในแต่ละครั้ง อีกสัปดาห์ต่อมาโอมัรถูกส่งตัวไปขังเดี่ยว ซึ่งเขาไม่ได้ทานอะไรเลยเป็นเวลา 24 ช.ม. ใน 20 วันต่อมาเขาถูกส่งไปยังค่ายที่มีเจ้าหน้าที่คุ้มกันอย่างแน่หนา


และเขาต้องการฆ่าตัวตายที่นั่น “แรงกดดันทางจิตใจมีอย่างมหาศาลเลย คุณต้องตำหนิตัวคุณเอง ประณามความคิดและประณามชาติพันธ์ของคุณเอง” โอมัรร้องไห้โฮออกมา ขณะที่เขาเล่าประสบการณ์ที่ขมขื่นที่สุดในชีวิต ณ ค่ายกักกัน “ผมยังคงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในค่าย ผมคิดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งฟ้าสาง ผมนอนไม่หลับเลยจริงๆ ความคิดเหล่านั้นมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา”


ผู้ถูกกักกันทั้งหมดต้องตื่นนอนพร้อมกันก่อนรุ่งเข้า แล้วจะมีการร้องเพลงชาติและชักธงชาติขึ้นเสาในเวลา 7.30 น. จากนั้นก็ไปรวมตัวกันในชั้นเรียนที่มีขนาดใหญ่ เพื่อจะเรียนเพลงต่างๆ เช่น “ปราศจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน เราก็จะไม่มีประเทศจีน” และเรียนรู้ภาษาจีนกลางและประวัติศาสตร์จีน เราถูกบังคับให้พูดใส่หัวของพวกเราว่า ชาวพื้นเมืองอุยกูร์ที่เคยเป็นพวกเลี้ยงแกะนั้นเป็นพวกที่ล้าหลังสิ้นดี และเคยถูกกดขี่ข่มเหงเยี่ยงทาสก่อนที่พรรค


คอมมิวนิสต์จีนมาช่วยปลดปล่อยชาวอุยกูร์ให้เป็นอิสระในช่วงปี 1950 ก่อนอาหารที่มีซุปผักและซาลาเปา พวกเราจะถูกสั่งให้ตะโกนว่า “ขอขอบคุณพรรคคอมมิวนิสต์ ขอบคุณแผ่นดินเกิด ขอบคุณประธานาธิบดีสี จิ้นผิง”


นายโอมัรถูกปล่อยตัวออกจากค่ายกักกันหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในค่ายนั้นเป็นเวลา 7 เดือนด้วยกัน โดยเจ้าหน้าที่จากสถานฑูตคาสัคสถานได้เข้ามาแทรกแซงเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว ตอนแรกเขาไม่ต้องการให้สัมภาษณ์กับสื่อใดๆ เพราะกลัวความปลอดภัยของครอบครัวที่ยังอาศัยอยู่ในซินเจียง แต่แล้วตำรวจก็จับกุมตัวน้องสาวชื่ออาดิละฮฺไป เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ปีนี้ อีกอาทิตย์ต่อมา ตำรวจได้มาจับกุมตัวมารดาคืออามีนะฮฺ ซอดิ๊กไปเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ตำรวจยังกลับมาจับบิดาคืออิบรอฮีมไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม จากนั้นโอมัรเปลี่ยนใจตัดสินใจออกมาเล่าประสบการณ์ที่ขมขื่นที่ค่ายกักกันในซินเจียงให้ชาวโลกได้รับรู้ “เรื่องมันมาไกลขนาดนี้แล้ว ผมไม่มีอะไรที่จะเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว”



นายเครัต สะมากาน อดีตผู้กักกันในค่ายกักกันแห่งหนึ่งในซินเจียง ได้ให้สัมภาษณ์กับเดอะโพสว่าเขาถูกกักกันตัว 3 เดือนหลังจากเดินทางกลับมาจากคาสัคสถาน “ที่ค่ายกักกันเราถูกสอนให้ร้องเพลงชาติจีน ให้มีการสรรเสริญเหมา เจ๋อตุง สอนให้ร้องเพลงที่ปราถนาให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีอายุยืนยาวเป็นพันๆ ปี และเรียนประวัติศาสตร์ของจีน” ทั้งโอมัรและเครัตต่างพูดตรงกันว่า เจ้าหน้าที่จะบังคับผู้ถูกกักกันให้ดื่มแอลกอฮอร์และทานหมูเพื่อเป็นการทำโทษ และมีการถูกบังคับให้ออกจากศาสนาอิสลามด้วยคำพูดต่างๆ ที่ดูหมิ่นต่อศาสนา

อดีตผู้ถูกกักกันตัวหลายคนต่างพูดตรงกันว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของโปรแกรมปรับทัศนคติคือ การที่พวกเขาถูกบังคับให้พูดซ้ำๆ ของสโลแกนต่างๆ ติดต่อกันหลายชั่วโมง และให้มีการตำหนิตัวเอง “เราจะต่อต้านพวกสุดโต่ง เราจะต่อต้านการแบ่งแยกแผ่นดิน เราะจะต่อต้านการก่อการร้าย” มีการเรียนติดต่อกัน 4 ชั่วโมง อาจารย์ผู้สอนได้มีการบรรยายเกี่ยวกับ ‘ภัยอันตรายในศาสนาอิสลาม’ อาจารย์ผู้สอนถามผู้ถูกกักกันซ้ำๆ ว่า “คุณจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามกฏหมายจีนหรือกฏชาริอะฮฺกันแน่ คุณเข้าใจหรือยังว่าทำไมศาสนาถึงเป็นอันตรายต่อพวกคุณ?” แล้วมีการบังคับให้ผู้ถูกกักกันต้องทำบททดสอบ พวกเขาต้องทำให้ถูกทั้งหมด ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกส่งไปยืนติดกำแพงเป็นเวลานับหลายชั่วโมง
โอมัรเล่าให้ฟังว่า ผู้ถูกกักกันแต่ละคนต้องยืนขึ้นกลางชั้นเรียนที่มีผู้เข้าเรียนอยู่ด้วยกัน 60 คน โดยที่พวกเขาจะต้องพูดเรื่องประวัติศาสตร์อิสลามในทำนองตำหนิติเตียน ผู้ถูกกักกันต้องมีการตำหนิผู้ถูกกักขังคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน คนที่ลอกเลียนแบบคำพูดของเจ้าหน้าที่ได้ดี หรือตำหนิผู้ถูกกักกันคนอื่นอย่างรุนแรง จะได้รับคะแนนเพิ่มและจะถูกทำเรื่องย้ายให้ไปอยู่ค่ายกักกันที่สุขสบายมากกว่าที่อยู่ในปัจจุบัน

หญิงอุยกูร์คนหนึ่งที่ไม่ต้องการออกนามเล่าให้สำนักข่าวเอพีฟังว่า หล่อนได้ถูกส่งตัวไปยังศูนย์กักกันที่เหอเถียนในปี 2016 (2 ปีที่แล้ว) ทั้งหล่อนและเพื่อนผู้กักกันที่เป็นหญิงล้วนคนอื่นๆ ถูกบังคับให้ขอโทษขอโพยอยู่ซ้ำๆ ที่เลือกแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลาม ขอโทษที่เคยละหมาด ขอโทษที่เคยสอนกุรอานให้ลูกๆ และขอโทษที่ขอให้อีหม่ามตั้งชื่อลูกให้เป็นภาษาอาหรับ พวกเขาถูกบังคับให้พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “เราได้ทำในสิ่งที่ผิดกฏหมาย ตอนนี้เรารู้มากกว่าเดิมแล้ว”


กลางปีค.ศ. 2017 (ปีที่แล้ว) ชาวอุยกูร์ที่รู้กันดีในนามว่า เอลดุส เคยเป็นผู้ประกาศข่าวที่สถานีทีวีของซินเจียงมาก่อน ถูกรัฐบาลจีนว่าจ้างให้สอนประวัติศาสตร์จีน เนื่องจากสามารถพูดภาษาจีนกลางได้ เขาได้เล่าว่าค่ายปรับทัศนคติแบ่งเป็น 3 กลุ่ม – กลุ่มแรกคือกลุ่มชาวนาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับได้ว่ามีตัวอักษรอาระบิกหรือมีคลิปวีดีโอบรรยายศาสนาอิสลามบนมือถือ ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่เคยไปเรียนศาสนาอิสลามในต่างประเทศ ซึ่งกลุ่มหลังสุดจะถูกจำคุกเป็นเวลา 10 -15 ปี เมื่อปีที่แล้วนักศีกษาศาสนาที่ไปเรียนที่ต่างประเทศถูกรัฐบาลจีนสั่งให้กลับประเทศโดยด่วน รวมทั้งผู้ที่ไปเรียนศาสนาที่ประเทศอียิปต์ ทั้งยังมีการกดดันรัฐบาลอียิปต์ให้มีการไล่ล่าและส่งตัวนักศึกษาชาวอุยกูร์กลับจีน ถ้าพวกเขาไม่ยอมกลับประเทศภายในเดือนกรกฎาคม 2017 (ปีที่แล้ว)


“ผู้ถูกกักกันถูกบังคับให้พูดซ้ำๆ ว่าพวกเขาสารภาพผิด จนกระทั่งพวกเขาถูกส่งตัวกลับบ้าน ซึ่งมันทำให้พวกเขาเชื่อว่าเขาติดหนี้บุญคุณประเทศ และทำยังไงก็ไม่สามารถที่จะทดแทนบุญคุณพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้หมด” “ผมได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้ถูกกักกันในทุกๆ คืน มันเป็นประสบการณ์ที่เศร้าใจที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้” เอลดุสตอนนี้หนีไปอยู่ต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว หลังจากได้มีการจ่ายสินบนกับเจ้าหน้าที่รัฐ

เมื่อเร็วๆ นี้เอง ทางกลุ่มสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอชท์ได้มีการขอสัมภาษณ์ญาติพี่น้องของผู้ถูกกักกันหลายต่อหลายคน โดยหนึ่งในจำนวนญาติเหล่านั้นเล่าว่า ครอบครัวที่ถูกรัฐบาลจีนเข้าจับกุมตัวมีอยู่ด้วยกัน 4 คน มีพ่อ แม่ และลูกที่ยังเป็นเด็ก 2 คน พวกเขาถูกส่งตัวไปยัง ‘ค่ายกักกันทางการเมือง’ ในซินเจียงตะวันตก เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังจากที่พวกเขาเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำธุรกิจ และเลยไปทำฮัจย์ด้วยในเวลาเดียวกัน ผู้ปกครองคนหนึ่งและลูกคนหนึ่งถูกปล่อยตัวให้กลับบ้าน หลังจากใช้เวลาในค่ายกักกันเป็นเวลานานถึง 3 เดือน ส่วนอีกสองคนซึ่งเป็นตัวของผู้ปกครองเองและเด็กที่เป็นลูกอีก 1 คน ทางญาติคาดว่าพวกเขายังคงถูกกักตัวอยู่ในค่ายกักกัน

ที่มาของข้อมูล -

1. https://www.independent.co.uk/news/world/asia/china-re-education-muslims-ramadan-xinjiang-eat-pork-alcohol-communist-xi-jinping-a8357966.html
2. https://www.wsj.com/articles/the-repression-of-the-uighurs-1534114124


3. https://www.hrw.org/news/2017/09/10/china-free-xinjiang-political-education-detainees

กองทัพอิสราเอลสังหารเด็กกาซ่า 50 คน ภายใน 2 วัน

แคทเธอรีน รัสเซลล์ ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรยูนิเซฟ UNICEF ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีที่นองเลือดในฉนวนกาซาเหนือเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย...