Sunday, December 30, 2018

ตำรวจจีนนับร้อยนายจู่โจมมัสยิดของชาวหุย

ตำรวจจีนนับร้อยนายจู่โจมมัสยิด ลากมุสลิมออกมาทำร้าย ขณะที่พวกเขาพยายามปกป้องมัสยิดไม่ให้ถูกทุบทำลาย


ในคลิปวีดีโอที่โพสในยูทูปเมื่อวันเสาร์ที่ 29/12 โดยใช้ชื่อว่า Muslim Council of Hong Kong ฉายให้เห็นมุสลิมชาวหุยมีการรวมตัวกันละหมาด และมีการอ่านกูนูตนาซิละฮฺ (กูนูตในยามวิกฤต) เพื่อขอให้อัลลอฮฺทรงช่วยเหลือและปกป้องมัสยิดไม่ให้ถูกรัฐบาลจีนทุบทำลาย ก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายร้อยนายจู่โจมเข้าไปในมัสยิด แล้วลากตัวพวกเขาออกมาและมีการทำร้ายร่างกาย

รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งให้มีการทุบทำลายมัสยิด 3 แห่งในเมืองต้าหลี่มณฑลยูนน่าน โดยอ้างว่ามัสยิดเหล่านี้สร้างขึ้นมาโดยไม่ได้รับอนุญาต

มุสลิมชาวหุยหลายพันคนเคยรวมตัวประท้วงครั้งใหญ่มาแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม ที่เมืองเว่ยโจว หลังจากรัฐบาลจีนประกาศแผนทุบทำลายมัสยิดหลวงประจำเมืองเว่ยโจว ที่สามารถรับรองผู้มาละหมาดได้ถึง 30,000 คน มัสยิดเพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว และสร้างขึ้นจากเงินบริจาคของมุสลิมชาวหุย ที่ร่วมใจกันสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนมัสยิดเก่าอายุกว่า 600 ปี ที่ถูกทำลายในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมไปพร้อมกับวัดวาอารามและโบสถ์คริสอื่น ๆ ทั่วประเทศจีน

ชาวบ้านจำนวนมากต่างพากันตั้งคำถามว่า พวกเขาได้รับการอนุญาตการก่อสร้างอย่างถูกต้อง แต่ทำไมรัฐบาลจีนถึงกลับคำอ้างว่า มัสยิดถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่ได้ดำเนินการด้านเอกสารให้ถูกต้อง และเหตุใดเจ้าหน้าที่จึงไม่มีการทักท้วงตั้งแต่ช่วงเวลาระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งใช้เวลานานถึง 2 ปี

ตำรวจไม่ได้มีการปะทะหรือจับกุมคนเข้าร่วมประท้วงในครั้งนั้น แต่กลับบอกผู้ประท้วงให้แยกย้ายกลับบ้านไปก่อน และอ้างว่ารัฐบาลจะทำงานร่วมกับพวกเขาในเรื่องนี้ แผนการทุบทำลายมัสยิดหลวงจึงถูกยุติไว้ชั่วคราว

ทั้งสัญลักษณ์จันทร์เสี้ยว และโดม ถูกรัฐบาลจีนสั่งรื้อถอนออกจากมัสยิดทั้งหมด

ในปี 2555 ชาวมุสลิมในบริเวณดังกล่าวได้ปะทะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล เพื่อขัดขวางไม่ให้ทางการทุบทำลายมัสยิดแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าสร้างขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน

ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนยังได้ออกกฏหมายห้ามเด็กมุสลิมชาวหุยเรียนคัมภีร์กุรอาน ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียนที่เด็กเรียนอยู่หรือในสถานศึกษาของศาสนาอิสลามก็ตาม

รัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน เริ่มจำกัดสิทธิในการปฏิบัติศาสนาอิสลามต่อมุสลิมชาวหุยมากขึ้น โดยเริ่มมีความกังวลว่า พวกเขาอาจจะมีชะตาชีวิตไม่ต่างอะไรกับมุสลิมอุยกูร์ในเตอร์กิสถานตะวันออก (หรือเขตปกครองซินเจียงอุยกูร์) ที่รัฐบาลจีนจับชาวอุยกูร์มากกว่า 1 ล้านคน เข้าค่ายกักกันเพื่อล้างสมองพวกเขาให้เคารพภักดีต่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนเพียงอย่างเดียว

สัญญาณที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลต่อมุสลิมชาวหุยมากยิ่งขื้นไปกว่าเดิมก็คือ การที่รัฐบาลท้องถิ่นของหนิง-เซี่ยได้มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือต่อต้านการก่อการร้ายกับรัฐบาลซินเจียง เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งนายจาง อวิ้นเซิง หัวหน้าท้องถิ่นประจำหนิ่งเซี่ยได้ไปเยี่ยมเยือนซินเจียงเมื่อเร็วๆ นี้ "เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ถึงวิธีการที่ซินเจียงสามารถต่อสู้กับการก่อการร้าย และมีการจัดระเบียบทางศาสนาได้อย่างไร? ซึ่งนายจางตั้งข้อสังเกตุไว้ว่า “ความก้าวหน้าของโครงการต่อต้านการก่อการร้ายของซินเจียงที่ประสบความสำเร็จนี้ มันช่างเป็นการคุ้มค่าที่เราจะเรียนรู้” นายอวิ้นเซิง กล่าว

ชาวหุยเป็นชนกลุ่มน้อยที่อยู่กันกระจัดกระจาย และมีการอยู่รวมกันหนาแน่นแถวเขตปกครองตนเองเผ่าหุย เมืองหนิงเซี่ย แต่ก็มีชาวหุยในมณฑลอื่น เช่นที่กานซู่ ชิงห่าย ยูนนาน เหอเป่ย ชานตง และเหอหนาน การสำรวจประชากรครั้งที่ 5 ของจีน พบว่าชนกลุ่มน้อยชาวหุยมีทั้งสิ้น 9,816,802 คน

ชื่อเต็มของชนเผ่าหุยคือ “หุยหุย” ชาวหุยเป็นชนกลุ่มน้อยที่เข้ารับนับถืออิสลาม ตั้งแต่ศาสนานี้เริ่มเข้ามาในจีนยุคแรกในสมัยราชวงศ์ถัง เริ่มจากการที่พ่อค้าอาหรับและชาวเปอร์เซียมาลงหลักปักฐานที่กว่างโจว เฉวียนโจว หางโจว หยางโจว และฉางอาน

ส่วนชาวอุยกูร์ที่อาศัยอยู่ในเตอร์กิสถานตะวันออก หรือทางการจีนเรียกแผ่นดินนี้ว่า เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เข้ารับศาสนาอิสลามหลังชาวหุย ซึ่ง “เดิมชาวอุยกูร์อยู่แถบเกาชาง เหอซี พวกนี้นับถือพุทธมาก่อน ชาวอุยกูร์หันมานับถือศาสนาอิสลามตามชาวหุยในกลางสมัยราชวงศ์หมิง และด้วยความสัมพันธ์ทางศาสนานี่เอง ทำให้มีการหลอมรวมคนทั้ง 2 กลุ่มเข้าด้วยกัน”

สมัยราชวงศ์หยวน พวกขุนนาง คหบดี ชนชั้นสูงของมองโกลนับถือศาสนาอิสลามกันมากขึ้น ดังนั้น ศาสนาอิสลามในจีนจึงมีผู้นับถือที่เป็นทั้งพวกหุย อุยกูร์ และมองโกล


ที่มาของข้อมูล
https://www.abc.net.au/news/2018-08-11/chinas-hui-muslims-protest-government-plans-to-demolish-a-newl/10106154
https://www.aljazeera.com/news/2018/01/china-county-bans-muslim-children-religious-events-180117123448774.html
https://mgronline.com/china/detail/9610000080440
https://www.thairath.co.th/content/1208792
http://www.asianews.it/news-en/Ningxia-government-to-learn-from-Xinjiang-'anti-terrorism'-approach-45651.html
http://i-newsmedia.net/?p=34115
เครดิตวีดีโอ - Muslim Council of Hong Kong

Thursday, December 27, 2018

💔💔💔 สุดเศร้า!!! เด็กเล็กอุยกูร์ถูกปล่อยให้นอนหนาวตายนอกบ้าน



มีคนไปพบร่างที่ไร้วิญญาณของด.ช.เราะฮฺมิตุลลอฮฺ ชิรบากีย์ ในสภาพนอนหนาวตายอยู่นอกบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเตอร์กิสถานตะวันออก (เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์) หลังจากรัฐบาลจีนจับกุมทั้งพ่อและแม่ของเด็กเข้าค่ายกักกัน โดยเด็กเล็กผู้นี้ถูกปล่อยให้อยู่เพียงลำพัง


มีเด็กชาวอุยกูร์นับแสนคนที่ถูกบังคับให้พลัดพรากจากผู้ปกครอง ซึ่งเด็กหลายคนถูกรัฐบาลจีนจับเข้าสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า และก็มีเด็กอีกหลายคนที่มีสภาพเหมือนด.ช.เราะฮฺมิตุลลอฮฺ ที่ถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพัง หลังจากที่ผู้ปกครองถูกรัฐบาลจีนจับกุมตัวเข้าค่ายกักกัน เพื่อบังคับให้พวกเขาออกจากอิสลาม ลบล้างวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาวอุยกูร์ และจงรักภักดีต่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดยประธานาธิบดีสี จิ้งผิง



ที่มา – ทวิตเตอร์ Salih Hudayar


 ข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ –
เด็กเชื้อสายคาซัคในจีนวอนขอความช่วยเหลือให้ช่วยปล่อยตัวพ่อแม่ที่ขังอยู่ในค่ายกักกันในซินเจียง
https://www.facebook.com/muslim.aof/notifications/…
ณ ค่ายกักกัน: ชาวอุยกูร์ถูกรัฐบาลจีนบีบบังคับให้ทานหมู ดื่มเหล้า และออกจากอิสลาม
https://www.facebook.com/…/a.14383739097…/1935338973427148/…

Sunday, December 23, 2018

สึนามิถล่มชายฝั่งอินโดนีเซียโดยกระทันหัน เสียชีวิตแล้ว 168 ราย



คลิปวีดีโอฉายให้เห็นถึงนาทีที่คลื่นสีนามิถล่มเวทีคอนเสริต์ ขณะวง“เซเว่นทีน”วงป็อบร็อกชื่อดังของอินโดนีเซีย กำลังแสดงอยู่บนเวที ที่รีสอร์ท Tanjung Lesung Beach Resort บนบริเวณชายหาดตันจุง เลอซัง เขตปันเดอกลัง จังหวัดบันเติน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว ณ ตอนนี้ 168 ราย และบาดเจ็บ 754 คน ผู้จัดการวงและมือเบสของวงเซเว่นทีนอยู่ในจำนวนผู้เสียชีวิตด้วย นักร้องนำคือนายอีฟานรอดชีวิต แต่ภรรยาของเขาที่เป็นนักแสดงและเพื่อนร่วมวงคนอื่น ยังกลายเป็นผู้สูญหายอยู่ในตอนนี้ มีการคาดว่ายอดผู้เสียชีวิตอาจจะสูงขึ้นอีก

นักวิทยาศาสตร์หลายคนให้ความเห็นตรงกันว่า เป็นไปได้ที่จะเกิดจากสึนามิใต้ทะเลหลังจากเกิดดินถล่มลงไปหลังจากภูเขาไฟกรากาตัวเกิดระเบิดขึ้น บวกกับเป็นช่วงพระจันทร์เต็มดวงซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นยิ่งทำให้ความรุนแรงจากคลื่นยักษ์รุนแรงมากขึ้น ซึ่งเหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลา 21.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันเสาร์ ( 22 ธ.ค.) ที่ผ่านมา


มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว ในเมืองปันเดกลัง ลัมปุง และเซรัง อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ระบุอีกว่า ยอดผู้เสียชีวิตอาจจะเพิ่มสูงขึ้น


รีเบคกา เฮนสกี บรรณาธิการแผนกภาษาอินโดนีเซีย ระบุว่า มีรายงานว่ายอดผู้เสียชีวิตในจังหวัดลัมปุงแห่งเดียวอาจจะมีจำนวนหลายร้อยคน


ทางการอินโดนีเซียแจ้งเตือนประชาชนให้อยู่ห่างจากชายฝั่ง เนื่องจากเกรงว่าอาจจะเกิดสึนามิขึ้นซ้ำอีก ขณะที่นายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซียส่งการให้หน่วยงานต่าง ๆ ระดมกำลังกันอย่างเต็มที่ และได้ทวีตข้อความแสดงความเสียใจอย่างสุดซื้งต่อครอบครัวผู้ที่สูญเสีย


ด้านนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียก็กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้ที่เสียชีวิต และว่าพร้อมให้การช่วยเหลือทางการอินโดนีเซีย


🔵 เกิดคลื่นซัดสองระลอก

ออยสไตน์ ลุนด์ แอนเดอร์สัน ช่างภาพชาวนอร์เวย์ ผู้อยู่ในเหตุการณ์บนชายหาดแห่งหนึ่งบนเกาะชวาตะวันตก ให้สัมภาษณ์บีบีซี เวิร์ล นิวส์ว่า ในขณะนั้นเขาอยู่บนชายหาดคนเดียว และพยายามที่จะถ่ายภาพการระเบิดของภูเขาไฟอะนัก กรากาตัว ส่วนครอบครัวของเขากำลังนอนหลับพักผ่อนในห้องพัก


เมื่อวานตอนเย็นเขาสังเกตว่า การระเบิดของภูเขาไฟลุกนี้ค่อนข้างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีคลื่นยักษ์ซัดชายฝั่ง กลับไม่มีการปะทุใด ๆ ให้เห็นเลย มองไปมีแต่เพียงความมืด


ทันทีที่เขาเห็นคลื่นยักษ์ สิ่งที่เขาต้องทำคือวิ่งหนีเอาตัวรอด โดยคลื่นที่ซัดเข้ามามีสองระลอก ระลอกแรงไม่รุนแรงนักจึงทำให้เขาวิ่งหนีตรงไปยังโรงแรมที่พักเพื่อปลุกภรรยาและลูกได้ทันก่อนคลื่นระลอกหลังที่ขนาดใหญ่และรุนแรงกว่าจะเข้ามา โดยพวกเขาและแขกคนอื่น ๆ ในโรงแรมได้ปีนขึ้นไปเนินป่าข้างหลังโรงแรม ซึ่งเป็นที่สูงและรอจนถึงขณะนี้


ภาพที่เขาเห็นในตอนนั้นเมื่อคลื่นเคลื่อนตัวผ่านโรงแรมที่เขาอยู่มันได้กวาดรถยนต์ออกจากถนนไปเลย

.
ที่มาของข้อมูล
https://www.theguardian.com/…/indonesia-tsunami-dozens-dead… 
https://www.bbc.com/thai/international-46663739

Saturday, December 22, 2018

มุสลิมในอินโดฯ แห่ชุนนุมประท้วงหน้าสถานทูตจีน กรณีจีนกดขี่ข่มเหงชาวอุยกูร์




ชาวอินโดนีเซียหลายพันคนร่วมชุมนุมประท้วงบริเวณหน้าสถานทูตจีนในกรุงจาการ์ต้า และอีกหลายแห่งทั่วอินโดนีเซีย เมื่อวันศุกร์ที่ 21 ธ.ค. เพื่อประท้วงรัฐบาลจีนที่ยังคงกดขี่ขมเหงชาวอุยกูร์อย่างหนักในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ 


ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลหลายกลุ่มต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ประธานาธิบดีโจโก วีโดโด้ ว่า ไม่ได้ออกมาสนับสนุนชาวอุยกูร์เท่าที่ควร


“ยูเอ็น ต้องออกมาพูด องค์การความร่วมมืออิสลาม (Organisation of Islamic Cooperation) ต้องออกมาพูด เรามุสลิมต้องช่วยกันยืนหยัดต่อต้านรัฐบาลจีน” นายริดวาน อับดุล ริดดุฮฺ กล่าวในที่ประท้วง


รัฐบาลจีนจับตัวชาวอุยกูร์กว่า 1 ล้านคนเข้าค่ายกักกันเพื่อลบล้างความเป็นอุยกูร์ไม่ว่าจะเป็นการนับถือศาสนาอิสลาม ภาษา วัฒนธรรม และบังคับให้พวกเขาภักดีต่อรัฐคอมมิวนิสต์จีนที่นำโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และปฏิบัติตนให้เหมือนกับจีนชาวฮั่นทุกประการ


กระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซียได้เคยเรียกตัวเอกอัครทูตจีน เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ทางอินโดนีเซียหลายกลุ่มแสดงความเป็นห่วงความเป็นอยู่ชาวอุยกูร์ในจีน และเรียกร้องให้ทางการจีนเคารพในสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาอิสลามของชาวอุยกูร์


ที่มา -
https://www.yenisafak.com/…/indonesian-muslims-protest-agai…


 ข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ณ ค่ายกักกัน: ชาวอุยกูร์ถูกรัฐบาลจีนบีบบังคับให้ทานหมู ดื่มเหล้า และออกจากอิสลาม
https://www.facebook.com/…/a.14383739097…/1935338973427148/…

Sunday, December 9, 2018

เด็กเล็กชาวปาเลสไตน์ถูกมือปืนสไนเปอร์อิสราเอลยิงเข้าที่ตา



คลิปวีดีโอฉายให้เห็นเด็กเล็กชาวปาเลสไตน์ถูกมือปืนสไนเปอร์ของกองกำลังยึดครองอิสราเอลจงใจยิงเข้าที่ตา เมื่อวันศุกร์ที่ 7 ธ.ค. บริเวณชายแดนฉนวนกาซ่า ที่มีการชุมนุมประท้วงในทุกๆ วันศุกร์ เพื่อเรียกร้องให้อิสราเอลยุติการปิดล้อมฉนวนกาซ่า และให้พวกเขาได้กลับสู่แผ่นดินบ้านเกิดที่อิสราเอลไซออนิสต์ยึดครองอยู่ในตอนนี้


สมมุติถ้าเด็กคนในคลิปวีดีโอกลายเป็นเด็กชาวยิวที่ถูกมือปืนสไนเปอร์ชาวปาเลสไตน์ยิงเข้าที่ตาเหมือนกัน ป่าวนี้สื่อกระแสหลักของโลกตะวันตกคงพากันประโคมข่าวกันใหญ่โตไปแล้ว แต่นี้กลับเงียบงันไม่มีสื่อกระแสหลักของสื่อตะวันตกเสนอข่าวที่อิสราเอลยังคงกระทำต่อชาวปาเลสไตน์อย่างเหี้ยมโหดแต่อย่างใด


ตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นมา กองกำลังยึดครองอิสราเอลได้สังหารเด็กชาวปาเลสไตน์ไปแล้วถึง 52 คน
ในเดือนพ.ย.เพียงเดือนเดียว อิสราเอลได้สังหารชาวปาเลสไตน์ไปแล้ว 24 ราย มีผู้บาดเจ็บ 850 คน จากการที่กองกำลังยึดครองอิสราเอลยิงพวกเขาด้วยกระสุนจริง กระสุนหุ้มโลหะและปาแก๊สน้ำตาใส่


#ชีวิตคนที่ไม่เคยมีค่าที่เท่ากัน
#ข่าวที่ไม่กลายเป็นข่าวบนหน้าสื่อกระแสหลักของโลกตะวันตก


ข้อมูล –
Council on International Relations in Gaza
เครดิตคลิปวีดีโอ - MK Motasem

Thursday, November 22, 2018

มิชชันนารีหนุ่มอเมริกันถูกชนเผ่าพื้นเมืองระดมยิงธนูใส่ หลังพยายามเข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์



นายจอห์น อาเลน เชา เป็นมิชชันนารีหนุ่มอเมริกันวัย 27 ปี พยายามเข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์กับชนเผ่าพื้นเมืองเกาะเซนติเนลเหนือ ในประเทศอินเดีย ด้วยการจ้างชาวประมงให้ออกเรือไปส่งใกล้เกาะเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน และเขาก็ใช้เรือแคนูพายต่อไปยังเกาะนี้เพียงลำพัง


ชนเผ่าเซนติเนลลิสเป็นชาวพื้นเมืองที่ตัดขาดจากอารยธรรมสมัยใหม่อย่างสิ้นเชิง พวกเขาอาศัยบนเกาะเซนทิเนลเหนือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ในอ่าวเบงกอล ประเทศอินเดีย


ตำรวจได้เข้าจับกุมและสอบสวนสืบสวนชาวประมงทั้ง 7 คนที่ช่วยนายจอห์นข้ามไปยังเกาะเซนติเนลเหนือ ชนเผ่าเซนติเนลลิสคาดว่ามีประชาการเหลือประมาณ 150 คน และเป็นชาวเผ่าที่แยกอยู่ตามลำพังมาเป็นเวลาหกหมื่นปีแล้ว 

ชาวพื้นเมืองของเกาะเซนทิเนลเหนือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ในอ่าวเบงกอล ประเทศอินเดีย 


ทางการอินเดียเคยให้ความคุ้มครองวิถีชีวิตของคนกลุ่มนี้ โดยประกาศห้ามเข้าในระยะ 5 ก.ม.จากเกาะ แต่ข้อมูลล่าสุดจากทางองค์กรเอ็นจึโอ Survival International ที่ทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนให้กับชนเผ่าต่างๆ ทั่วโลก ได้ออกแถลงการณ์ถึงกรณีการเสียชีวิตของนายเชาว่า “เรื่องโศรกนาฏกรรมนี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเลย ถ้าทางการอินเดียได้บังคับใช้กฏหมายที่คุ้มครองชาวเซนติเนลลิส และเกาะของพวกเขา เพื่อความปลอดภัยสำหรับชาวเผ่าเอง และกับคนภายนอก


“ซึ่งไม่กี่เดือนมานี้เอง ที่ทางการอินเดียได้เริ่มอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวที่เกาะนี้ได้แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดพลาดมากๆ และอาจมีส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองนี้ขึ้น”
.
.
ชาวประมงบอกกับตำรวจว่าพวกเขาเห็นนายเชาเป็นครั้งสุดท้าย ตอนที่เขาถูกชนพื้นเมืองของเกาะเซนติเนลระดมยิงธนูใส่ นายเชายังคงเดินต่อไปอีก ก่อนที่จะถูกชนพื้นเมืองนำเชือกมารัดคอแล้วลากร่างนายเชาไปตามชายหาด ทำให้ชาวประมงหวาดผวา จึงรีบแล่นเรือหนีไป ชาวประมงอ้างว่าพวกเขากลับไปวันรุ่งขึ้น พวกเขาเห็นศพชองนายเชาถูกลากไปมาและชาวพื้นเมืองเซนติเนลลิสก็ได้ใช้ทรายกลบฝังร่างเขา


ก่อนหน้าที่จะถูกตำรวจจับ ชาวประมงได้นำเรือไปจอดที่ท่าเรือแบลร์ และเล่าเรื่องนี้ให้กับบาทหลวงประจำท้องถิ่นที่ชื่ออเล็กซ์ ที่เป็นเพื่อนกับนายเชา บาทหลวงอเล็กซ์จึงติตต่อกับสถานฑูตสหรัฐฯ ในนิวเดลีเพื่อขอความช่วยเหลือในทันทีที่ทราบเรื่อง


ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวเกี่ยวกับชาวพื้นเมืองเซนติเนลลิสออกมาตั้งแต่ปี 2547 ที่มีสมาชิกของชนเผ่านี้ยิงธนูใส่เฮลิคอปเตอร์ โดยที่ทางการอินเดียส่งมาสำรวจชีวิตของชนเผ่าเซนติเนลลิสหลังเกิดสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย


ล่าสุด ทางการอินเดียได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ และเรือ ไปหาพิกัดให้แน่ชัดว่าเหตุเกิด ณ จุดใด และจนถึงเวลานี้ยังไม่พบจุดที่ศพถูกทิ้งไว้ ยอมรับว่าอาจต้องใช้เวลาอีกหลายวันในการหาศพ

โอ้พระเจ้า ผมยังไม่อยากตาย!!!

มารดาของนายเชาได้แชร์ไดอารี่ของลูกชายที่บันทึกเรื่องราวของเขาก่อนที่จะเสียชีวิตให้กับหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเผยให้ทราบว่า นายเชามีความตั้งใจที่จะเข้าไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์กับชาวพื้นเมืองเซนติเนลลิส


““พ่อกับแม่คงคิดว่าว่าผมบ้าไปแล้ว แต่ผมคิดว่ามันช่างคุ้มค่าจริงๆ ที่จะไปบอกกล่าวเรื่องราวของพระเยซูแก่ผู้คนเหล่านั้น ได้โปรดไปอย่าแค้นเคืองพวกเขา หรือพระเจ้า หากผมต้อวชงถูกฆ่าตาย” เขาเขียนบันทึกนี้ลงวันที่ 16 พ.ย. เป็นวันที่เขาถูกฆ่าตาย


นายเชาได้พยายามเข้าไปที่เกาะตั้งแต่วันที่ 14 – 15 พ.ย. แต่เขาต้องรีบกลับขึ้นเรือไปเพราะความกลัว โดยเขาได้เขียนเล่าในข้อความบันทึกเหตุการณ์ว่า เขาพบชนเผ่าบนเกาะจำนวนหนึ่งที่มีความสูงประมาณ 168 ซ.ม. และทาแป้งสีเหลืองบนใบหน้า มองนายด้วยความโกรธเคือง นายเชาพยายามที่จะพูดภาษาของพวกเขา และเริ่มร้องเพลงสรรเสริญพระ "พอพวกเขาเข้ามาใกล้ ผมตะโกนออกไป ผมชื่อจอห์นนะ ผมรักพวกคุณ และพระเจ้าก็รักพวกคุณด้วยเช่นกัน ผมเสียใจที่เริ่มต้นแบบตื่นตระหนกไปหน่อย เพราะผมเห็นพวกเขาเงื้อธนู ผมหยิบปลา โยนให้พวกเขา แต่อีกฝ่ายยังเดินเข้ามาหา ผมพายแบบไม่คิดชีวิตกลับไปที่เรือประมง ผมรู้สึกกลัวแต่ผิดหวังมากกว่า พวกเขาไม่ยอมรับผมทันที”


เขาเล่าเพิ่มเติมว่า เด็กต้องการยิงธนูเล็งมาที่ผม แต่กลับพลาดไปโดนคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับกั้นน้ำแทน” เขายังเขียนบันทึกอีกว่า “โอ้พระเจ้า ผมยังไม่อยากตาย”

ที่มา -

Saturday, November 17, 2018

สภาพเด็กปาเลสไตน์ที่พบร่างที่ไร้วิญญานของพี่ชายที่ถูกทหารเรืออิสราเอลยิงเสียชีวิต



ผ่านไปเพียงไม่กี่ช.ม. กองทัพอิสราเอลได้ละเมิดสัญญาหยุดยิงครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากฮามาสออกแถลงการณ์เมื่อวันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน ประกาศยอมรับข้อตกลงหยุดยิงกับอิสราเอล จากการปะทะเดือดตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน โดยอิสราเอลส่งหน่วยทหารปฏิบัติการพิเศษแอบซุ่มบุกรุกเข้าไปยังค่าน ยูนิส ตอนใต้ของแผ่นดินปาเลสไตน์ เพื่อทำการลักพาตัวนักรบกลุ่มฮามาส จนทำให้ฮามาสตอบโต้อิสราเอลอย่างหนัก


นายนาวาฟ อัล-อัตตาร์ ชาวประมงชาวปาเลสไตน์วัย 20 ปี จากเบท ลาฮิยะฮฺ ทางตอนเหนือของฉนวนกาซ่า ถูกทหารเรืออิสราเอลยิงเข้าที่หน้าท้อง ส่งผลให้นายนาวาฟเสียชีวิต ขณะที่กำลังหาปลาอยู่บริเวณ 3 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในข้อตกลงของอิสราเอลที่อนุญาตให้หาปลาได้ไม่เกิน 6 ไมล์ทะเล


แต่ทางกองทัพอิสราเอลกลับออกมาแถลงการณ์ว่า นายนาวาฟพยายามฝ่าข้ามกำแพงกั้นทะเลที่อิสราเอลสร้างขึ้นมาเพื่อปิดกั้นฉนวนกาซ่า และทหารเรือมีการยิงเตือนก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ฟัง จึงจำเป็นต้องยิงเพื่อปกป้องตนเอง


ที่มา
https://www.maannews.com/Content.aspx?id=781796

Sunday, November 11, 2018

เด็กเชื้อสายคาซัควอนขอความช่วยเหลือให้ช่วยปล่อยตัวพ่อแม่ที่ขังอยู่ในค่ายกักกันในซินเจียง




นครอัลมาตี - เด็กๆ ประมาณ 50 คนได้ถูกนำเข้าร่วมงานประชุมที่จัดขึ้นโดยกลุ่มเยาวชนอาสาสมัคร Atazhurt ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรอาสาสมัครเอกชน โดยมีการจัดขึ้นที่สำนักงานในนครอัลมาตี เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา


เด็กๆ ต่างวอนขอร้องรัฐบาลคาซัคสถานและกลุ่มสิทธิมนุษยชนนานาชาติช่วยกดดันรัฐบาลจีนให้ปล่อยตัวพ่อแม่ของเด็กๆ และเรียกร้องให้ช่วยเหลือพวกเขาในการตั้งถิ่นฐานในประเทศคาซัคสถาน
เด็กเหล่านี้ที่มีเชื้อสายคาซัคจากซินเจียง ซึ่งพ่อหรือแม่ หรือทั้งพ่อและแม่ถูกรัฐบาลจีนกักขังตัวเอาไว้ในค่ายกักกันหรือค่ายปรับทัศนคติในซินเจียง ขณะที่พวกเขาเดินทางเข้าออกประเทศจีนผ่านพรมแดนที่ติดกันระหว่างจีนกับประเทศคาซัคสถาน เพื่อไปเยี่ยมครอบครัวที่ยังอาศัยอยู่ในซินเจียง ชาวคาซัคเป็นหนึ่งในกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในซินเจียงร่วมกับชาวอุยกูร์มาเป็นเวลายาวนาน


หลังจากคาซัคสถานได้รับเอกราชจากการล่มสลายของสหาภาพโซเวียตในปี 1991 ชนชาติคาซัคหลายคนจากซินเจียงและจากหลายๆ ที่ได้รับผลประโยชน์จากการที่ประเทศคาซัคสถานเปิดกว้างให้ชนชาติคาซัคเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศอย่างถาวรได้ หลายต่อหลายคนได้รับสิทธิในการอยู่อย่างถาวรในคาซัคสถาน หรือบ้างก็ได้รับสัญชาติเป็นพลเมืองของประเทศคาซัคสถาน แต่พวกเขาก็ยังคงเดินทางไปเยี่ยมเยือนญาติพี่น้องที่ยังคงอาศัยในซินเจียงอยู่เป็นประจำ


ที่มา -
https://www.rferl.org/a/children-of-ethnic-ka…/29578843.html
ข่าวที่เกี่ยวข้องกับวีดีโอนี้
ณ ค่ายกักกัน: ชาวอุยกูร์ถูกรัฐบาลจีนบีบบังคับให้ทานหมู ดื่มเหล้า และออกจาก
อิสลาม
https://www.facebook.com/…/a.14383739097…/1935338973427148/…

Friday, November 9, 2018

ณ ค่ายกักกัน: ชาวอุยกูร์ถูกรัฐบาลจีนบีบบังคับให้ทานหมู ดื่มเหล้า และออกจากอิสลาม


นายโอมัร บิคาลีย์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เล่าถึงประสบการณ์ที่เลวร้าย ขณะที่เขาที่ถูกกักกันตัวในค่ายกักกันแห่งหนึ่งในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์

นายโอมัร บิคาลีย์ เกิดในจีนเมื่อปี 1976 (อายุ 42 ปี) ทั้งบิดาและมารดาเป็นชาวอุยกูร์ เขาย้ายไปอยู่ที่คาซัคสถานเมื่อปี 2006 และได้สัญชาติหลังจากนั้น 3 ปี เขาได้กลับไปเยี่ยมครอบครัวเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ปีที่แล้ว โอมัรผ่านด่านตำรวจและยื่นบัตรประชาชนของจีนใบเก่าที่เขายังเก็บไว้อยู่ วันต่อมาตำรวจ 5 นายพร้อมอาวุธครบมือมาที่บ้านครอบครัว และได้เข้าจับกุมตัวเขาไป โอมัรไม่สามารถโทรศัพท์หาคนในครอบครัวหรือทนายได้ ส่วนตำรวจเองยังพูดอีกกับเขาด้วยว่ามันเป็นคดีพิเศษ


ขณะที่อยู่ที่ค่ายกักกัน โอมัรสังเกตเห็นผู้ถูกกักกันบางคนใส่ชุดนักโทษสีฟ้าเข้ม ส่วนเขาถูกให้ใส่ชุดสีส้ม ซึ่งหมายถึงเขาเป็นนักโทษทางการเมือง เริ่มแรกเขาถูกจับให้ไปอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังอีก 40 คน ซึ่งมีผู้ถูกกักกันที่มีอาชีพครู แพทย์ และนักเรียน มีการแยกชายแยกหญิง


อามิรถูกทรมานด้วยการจับมัดทั้งข้อมือและข้อเท้ากับเก้าอี้เสือ (Tiger chair) อย่างแน่นหนา “พวกเขายังจับผมกางแขนออกจากกันแล้วมัดข้อมือเอาไว้ จากนั้นก็แขวนผมไว้กับกำแพงในระดับที่ขาลอยจากพื้นเป็นเวลา 4 วัน และ 4 วันที่พวกเขาไม่ให้ผมหลับเลย ผมถูกทรมาน ผมยังถูกมัดเท้าทั้งสองข้างไว้กับเตียงนอนอย่างแน่นหนา ผมขยับตัวไม่ได้เลย”


เมื่อโอมัรปฏิเสธที่ปฏิบัติตามคำสั่งในแต่ละวันที่ค่ายกักกัน เขาถูกบังคับให้ยืนติดกำแพงเป็นเวลา 5 ช.ม.ในแต่ละครั้ง อีกสัปดาห์ต่อมาโอมัรถูกส่งตัวไปขังเดี่ยว ซึ่งเขาไม่ได้ทานอะไรเลยเป็นเวลา 24 ช.ม. ใน 20 วันต่อมาเขาถูกส่งไปยังค่ายที่มีเจ้าหน้าที่คุ้มกันอย่างแน่หนา


และเขาต้องการฆ่าตัวตายที่นั่น “แรงกดดันทางจิตใจมีอย่างมหาศาลเลย คุณต้องตำหนิตัวคุณเอง ประณามความคิดและประณามชาติพันธ์ของคุณเอง” โอมัรร้องไห้โฮออกมา ขณะที่เขาเล่าประสบการณ์ที่ขมขื่นที่สุดในชีวิต ณ ค่ายกักกัน “ผมยังคงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในค่าย ผมคิดอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งฟ้าสาง ผมนอนไม่หลับเลยจริงๆ ความคิดเหล่านั้นมันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา”


ผู้ถูกกักกันทั้งหมดต้องตื่นนอนพร้อมกันก่อนรุ่งเข้า แล้วจะมีการร้องเพลงชาติและชักธงชาติขึ้นเสาในเวลา 7.30 น. จากนั้นก็ไปรวมตัวกันในชั้นเรียนที่มีขนาดใหญ่ เพื่อจะเรียนเพลงต่างๆ เช่น “ปราศจากพรรคคอมมิวนิสต์จีน เราก็จะไม่มีประเทศจีน” และเรียนรู้ภาษาจีนกลางและประวัติศาสตร์จีน เราถูกบังคับให้พูดใส่หัวของพวกเราว่า ชาวพื้นเมืองอุยกูร์ที่เคยเป็นพวกเลี้ยงแกะนั้นเป็นพวกที่ล้าหลังสิ้นดี และเคยถูกกดขี่ข่มเหงเยี่ยงทาสก่อนที่พรรค


คอมมิวนิสต์จีนมาช่วยปลดปล่อยชาวอุยกูร์ให้เป็นอิสระในช่วงปี 1950 ก่อนอาหารที่มีซุปผักและซาลาเปา พวกเราจะถูกสั่งให้ตะโกนว่า “ขอขอบคุณพรรคคอมมิวนิสต์ ขอบคุณแผ่นดินเกิด ขอบคุณประธานาธิบดีสี จิ้นผิง”


นายโอมัรถูกปล่อยตัวออกจากค่ายกักกันหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในค่ายนั้นเป็นเวลา 7 เดือนด้วยกัน โดยเจ้าหน้าที่จากสถานฑูตคาสัคสถานได้เข้ามาแทรกแซงเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว ตอนแรกเขาไม่ต้องการให้สัมภาษณ์กับสื่อใดๆ เพราะกลัวความปลอดภัยของครอบครัวที่ยังอาศัยอยู่ในซินเจียง แต่แล้วตำรวจก็จับกุมตัวน้องสาวชื่ออาดิละฮฺไป เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ปีนี้ อีกอาทิตย์ต่อมา ตำรวจได้มาจับกุมตัวมารดาคืออามีนะฮฺ ซอดิ๊กไปเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ตำรวจยังกลับมาจับบิดาคืออิบรอฮีมไปเมื่อวันที่ 24 มีนาคม จากนั้นโอมัรเปลี่ยนใจตัดสินใจออกมาเล่าประสบการณ์ที่ขมขื่นที่ค่ายกักกันในซินเจียงให้ชาวโลกได้รับรู้ “เรื่องมันมาไกลขนาดนี้แล้ว ผมไม่มีอะไรที่จะเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว”



นายเครัต สะมากาน อดีตผู้กักกันในค่ายกักกันแห่งหนึ่งในซินเจียง ได้ให้สัมภาษณ์กับเดอะโพสว่าเขาถูกกักกันตัว 3 เดือนหลังจากเดินทางกลับมาจากคาสัคสถาน “ที่ค่ายกักกันเราถูกสอนให้ร้องเพลงชาติจีน ให้มีการสรรเสริญเหมา เจ๋อตุง สอนให้ร้องเพลงที่ปราถนาให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มีอายุยืนยาวเป็นพันๆ ปี และเรียนประวัติศาสตร์ของจีน” ทั้งโอมัรและเครัตต่างพูดตรงกันว่า เจ้าหน้าที่จะบังคับผู้ถูกกักกันให้ดื่มแอลกอฮอร์และทานหมูเพื่อเป็นการทำโทษ และมีการถูกบังคับให้ออกจากศาสนาอิสลามด้วยคำพูดต่างๆ ที่ดูหมิ่นต่อศาสนา

อดีตผู้ถูกกักกันตัวหลายคนต่างพูดตรงกันว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของโปรแกรมปรับทัศนคติคือ การที่พวกเขาถูกบังคับให้พูดซ้ำๆ ของสโลแกนต่างๆ ติดต่อกันหลายชั่วโมง และให้มีการตำหนิตัวเอง “เราจะต่อต้านพวกสุดโต่ง เราจะต่อต้านการแบ่งแยกแผ่นดิน เราะจะต่อต้านการก่อการร้าย” มีการเรียนติดต่อกัน 4 ชั่วโมง อาจารย์ผู้สอนได้มีการบรรยายเกี่ยวกับ ‘ภัยอันตรายในศาสนาอิสลาม’ อาจารย์ผู้สอนถามผู้ถูกกักกันซ้ำๆ ว่า “คุณจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามกฏหมายจีนหรือกฏชาริอะฮฺกันแน่ คุณเข้าใจหรือยังว่าทำไมศาสนาถึงเป็นอันตรายต่อพวกคุณ?” แล้วมีการบังคับให้ผู้ถูกกักกันต้องทำบททดสอบ พวกเขาต้องทำให้ถูกทั้งหมด ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกส่งไปยืนติดกำแพงเป็นเวลานับหลายชั่วโมง
โอมัรเล่าให้ฟังว่า ผู้ถูกกักกันแต่ละคนต้องยืนขึ้นกลางชั้นเรียนที่มีผู้เข้าเรียนอยู่ด้วยกัน 60 คน โดยที่พวกเขาจะต้องพูดเรื่องประวัติศาสตร์อิสลามในทำนองตำหนิติเตียน ผู้ถูกกักกันต้องมีการตำหนิผู้ถูกกักขังคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน คนที่ลอกเลียนแบบคำพูดของเจ้าหน้าที่ได้ดี หรือตำหนิผู้ถูกกักกันคนอื่นอย่างรุนแรง จะได้รับคะแนนเพิ่มและจะถูกทำเรื่องย้ายให้ไปอยู่ค่ายกักกันที่สุขสบายมากกว่าที่อยู่ในปัจจุบัน

หญิงอุยกูร์คนหนึ่งที่ไม่ต้องการออกนามเล่าให้สำนักข่าวเอพีฟังว่า หล่อนได้ถูกส่งตัวไปยังศูนย์กักกันที่เหอเถียนในปี 2016 (2 ปีที่แล้ว) ทั้งหล่อนและเพื่อนผู้กักกันที่เป็นหญิงล้วนคนอื่นๆ ถูกบังคับให้ขอโทษขอโพยอยู่ซ้ำๆ ที่เลือกแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลาม ขอโทษที่เคยละหมาด ขอโทษที่เคยสอนกุรอานให้ลูกๆ และขอโทษที่ขอให้อีหม่ามตั้งชื่อลูกให้เป็นภาษาอาหรับ พวกเขาถูกบังคับให้พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “เราได้ทำในสิ่งที่ผิดกฏหมาย ตอนนี้เรารู้มากกว่าเดิมแล้ว”


กลางปีค.ศ. 2017 (ปีที่แล้ว) ชาวอุยกูร์ที่รู้กันดีในนามว่า เอลดุส เคยเป็นผู้ประกาศข่าวที่สถานีทีวีของซินเจียงมาก่อน ถูกรัฐบาลจีนว่าจ้างให้สอนประวัติศาสตร์จีน เนื่องจากสามารถพูดภาษาจีนกลางได้ เขาได้เล่าว่าค่ายปรับทัศนคติแบ่งเป็น 3 กลุ่ม – กลุ่มแรกคือกลุ่มชาวนาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับได้ว่ามีตัวอักษรอาระบิกหรือมีคลิปวีดีโอบรรยายศาสนาอิสลามบนมือถือ ส่วนกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่เคยไปเรียนศาสนาอิสลามในต่างประเทศ ซึ่งกลุ่มหลังสุดจะถูกจำคุกเป็นเวลา 10 -15 ปี เมื่อปีที่แล้วนักศีกษาศาสนาที่ไปเรียนที่ต่างประเทศถูกรัฐบาลจีนสั่งให้กลับประเทศโดยด่วน รวมทั้งผู้ที่ไปเรียนศาสนาที่ประเทศอียิปต์ ทั้งยังมีการกดดันรัฐบาลอียิปต์ให้มีการไล่ล่าและส่งตัวนักศึกษาชาวอุยกูร์กลับจีน ถ้าพวกเขาไม่ยอมกลับประเทศภายในเดือนกรกฎาคม 2017 (ปีที่แล้ว)


“ผู้ถูกกักกันถูกบังคับให้พูดซ้ำๆ ว่าพวกเขาสารภาพผิด จนกระทั่งพวกเขาถูกส่งตัวกลับบ้าน ซึ่งมันทำให้พวกเขาเชื่อว่าเขาติดหนี้บุญคุณประเทศ และทำยังไงก็ไม่สามารถที่จะทดแทนบุญคุณพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้หมด” “ผมได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้ถูกกักกันในทุกๆ คืน มันเป็นประสบการณ์ที่เศร้าใจที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้” เอลดุสตอนนี้หนีไปอยู่ต่างประเทศเรียบร้อยแล้ว หลังจากได้มีการจ่ายสินบนกับเจ้าหน้าที่รัฐ

เมื่อเร็วๆ นี้เอง ทางกลุ่มสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอชท์ได้มีการขอสัมภาษณ์ญาติพี่น้องของผู้ถูกกักกันหลายต่อหลายคน โดยหนึ่งในจำนวนญาติเหล่านั้นเล่าว่า ครอบครัวที่ถูกรัฐบาลจีนเข้าจับกุมตัวมีอยู่ด้วยกัน 4 คน มีพ่อ แม่ และลูกที่ยังเป็นเด็ก 2 คน พวกเขาถูกส่งตัวไปยัง ‘ค่ายกักกันทางการเมือง’ ในซินเจียงตะวันตก เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังจากที่พวกเขาเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำธุรกิจ และเลยไปทำฮัจย์ด้วยในเวลาเดียวกัน ผู้ปกครองคนหนึ่งและลูกคนหนึ่งถูกปล่อยตัวให้กลับบ้าน หลังจากใช้เวลาในค่ายกักกันเป็นเวลานานถึง 3 เดือน ส่วนอีกสองคนซึ่งเป็นตัวของผู้ปกครองเองและเด็กที่เป็นลูกอีก 1 คน ทางญาติคาดว่าพวกเขายังคงถูกกักตัวอยู่ในค่ายกักกัน

ที่มาของข้อมูล -

1. https://www.independent.co.uk/news/world/asia/china-re-education-muslims-ramadan-xinjiang-eat-pork-alcohol-communist-xi-jinping-a8357966.html
2. https://www.wsj.com/articles/the-repression-of-the-uighurs-1534114124


3. https://www.hrw.org/news/2017/09/10/china-free-xinjiang-political-education-detainees

Friday, September 21, 2018

แพทย์ในอิดลิบของซีเรียประท้วงการบุกโจมตีโดยรัฐบาลบัชชาร อะสัด และรัสเซียต่อโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพหลายแห่งในพื้นที่



บุคลากรทางการแพทย์ในจังหวัดอิดลิบของซีเรียประท้วงการบุกโจมตีโดยรัฐบาลบัชชาร อะสัด และผู้สนับสนุนอย่างรัสเซียต่อโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพหลายแห่งในพื้นที่


เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2018 แพทย์ พยาบาลและคนขับรถพยาบาลกว่า 500 คน รวมตัวกันหน้าโรงพยาบาล ATME ในเมืองอิดลิบใกล้กับชายแดนซีเรีย-ตุรกี พวกเขาตะโกนสโลแกนและยืนถือป้ายช้อความที่เขียนว่า “คนทำงานสาธารณสุขไม่ได้อยู่คนเดียว”, “ผู้ก่อการร้ายฆ่าหมอ พุ่งเป้าโจมตีโรงพยาบาล”


ดร.มุนา หัตตาบ บอกกับอนาโดลูว่า “เราไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย, เราเป็นหมอและบุคลากรสาธารณสุข” ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Anadolu Agency ของตุรกี


มุหิบ กัดดูร ผู้จัดการโรงพยาบาล ATME กล่าวว่า “หมอเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ เราเป็นส่วนหนึ่งของภาคสาธารณสุขนานาชาติ การปกป้องคุ้มครองพวกเราถือเป็นความรับผิดชอบของประชาคมนานาชาติ เราอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือผู้คน”


อิบรอฮีม ติลาส หมออีกคนหนึ่ง เรียกร้องให้รัฐบาลอะสัดยุติการโจมตีทางอากาศ


จังหวัดอิดลิบ ตั้งอยู่ใกล้กับชายแดนตุรกี มีชาวซีเรียอาศัยอยู่ในจังหวัดนี้ราว 3 ล้านคน จำนวนมากของพวกเขาเป็นผู้พลัดถิ่นมาจากพื้นที่อื่นของประเทศเนื่องจากผลกระทบของสงครามกลางเมือง

ไม่นานมานี้รัฐบาลซีเรียได้วางแผนที่จะใช้ปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่บุกเข้าพื้นที่นี้ซึ่งถูกควบคุมโดยกลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลหลายกลุ่ม


องค์การสหประชาชาติเตือนว่าถ้ารัฐบาลซีเรียใช้แผนโจมตีดังกล่าวจริงอาจนำไป “มหันตภัยด้านมนุษยธรรมครั้งเลวร้ายที่สุดในศตวรรษที่ 21”


ที่มา : สำนักข่าวไวท์นิวส์ - http://whitechannel.tv/syria-health-workers-protest-regime…/
ข่าวภาคภาษาอังกฤษ – https://www.aa.com.tr/…/syria-health-workers-protes…/1256320
วีดีโอ - https://www.aa.com.tr/…/health-workers-protest-assad-regime…
🎬 ดูคลิปวีดีโอข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ -
https://www.facebook.com/muslim.aof/videos/991019257737712/?__xts__[0]=68.ARBZqygFEQ0lAA0ezqNEJIRJm5TekuLl3MRgkQcBXZmVBsZ0G_Y1GRTTslFtxTj7mXG39d9zmF3WqrON1wORjquusrkdBi4yw2y6rIu4Z6rKQL83m2jUKzoRX13wGDt6KDDQ8g7yK0oBAcKibF1551Fmh5t8zOHNINVJ73dbBJo9QtjOkA3M&__tn__=-R

Sunday, September 9, 2018

รัสเซีย-ซีเรียทิ้งระเบิดถล่มอิดลิบอย่างหนัก




วันนี้ รัฐบาลซีเรียได้ทิ้งระเบิดบารอลบอมบ์มากกว่า 20 ครั้งใส่บ้านเรือนประชาชนที่ฮูเบท ซิตี้ ทางชนบทตอนใต้ของจังหวัดอิดลิบ สังหารเด็กทารกหญิง 1และเด็กชายอีก 1 คน คน  มีผู้บาดเจ็บ 6 คน


เมื่อวานนี้ (เสาร์ที่ 8/09) ทั้งเครื่องบินรบของรัฐบาลรัสเซียและ เฮลิคอปเตอร์ของรัฐบาลซีเรีย ร่วมกันทิ้งระเบิดถล่มด้วยการ
โจมตีมากกว่า 60 ครั้ง ด้วยการพุ่งเป้าไปที่บ้านเรือนประชาชน


รัฐบาลซีเรียส่งเฮลิคอปเตอร์ทิ้งระเบิดบารอลบอมบ์ใส่โรงพยาบาลใต้ดิน ที่ฝ่ายต่อต้านขุดเจาะภูเขาสร้างมันขึ้นมา ที่หมู่บ้านในเมืองฮาสทางตอนใต้ของอิดลิบ  ส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 6 คน ซึ่งมีเด็กอยู่ในจำนวนผู้เสียชีวิตด้วย 1 คน และมีผู้บาดเจ็บนับสิบรวมทั้งเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จำนวน3 คน  ส่วนโรงพยาบาลเสียหายอย่างหนักไม่สามารถให้บริการประชาชนได้อีกต่อไป


ทั้งรัสเซียและซีเรียได้มุ่งเป้าโจมตีไปที่พื้นที่ทางตอนใต้ของอิดลิบ และทางตอนเหนือของฮามา โดยนับเป็นการโจมตีที่รุนแรงที่สุด นับตั้งแต่ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา 


เหตุการณ์ปฎิบัติการโจมตีทางอากาศของกองทัพรัสเซียและซีเรียในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากการประชุมไตรภาคีที่มีรัสเซีย ตุรกีและอิหร่าน โดยจัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่กรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน และเป็นการประชุมที่ล้มเหลว ทางรัฐบาลตุรกีเสนอให้มีการหยุดยิง แต่ทางรัสเซียและอิหร่านต้องการเดินหน้าบุกโจมตีอิดลิบ โดยอ้างว่าต้องการกวาดล้างกลุ่มก่อการร้าย และยึดจังหวัดอิดลิบกลับคืนมาทั้งหมด


เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ  เตือนไปยังบัชชาร์ว่า สหรัฐฯ จะตอบโต้อย่างฉับพลันและเหมาะสม หากรัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชนอีก ส่วนยูเอ็นแสดงความเป็นห่วงว่าจะเกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ ถ้าเกิดสงครามแบบเต็มรูปแบบในอิดลิบที่มีประชาชนอาศัยอยู่ 3 ล้านคน


ที่มา -


กองทัพอิสราเอลสังหารเด็กกาซ่า 50 คน ภายใน 2 วัน

แคทเธอรีน รัสเซลล์ ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรยูนิเซฟ UNICEF ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีที่นองเลือดในฉนวนกาซาเหนือเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย...