Monday, June 24, 2019

💔 "หัวใจของฉันตายด้าน ส่วนวิญญาณของฉันได้ตายไปแล้ว"


หญิงชาวซีเรียออกมาเปิดเผยประสบการณ์ที่พวกเขาถูกเจ้าหน้าที่ทหารของรัฐบาลบัชชาร์ อัล-
อัสซาดขมขื่น

ที่มา - อัลญะซีเราะฮฺ
 ข่าวแปลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้:
💔 หญิงผู้รอดชีวิตเผยประสบการณ์อันเลวร้ายในคุกซีเรีย

หญิงผู้รอดชีวิตเผยประสบการณ์อันเลวร้ายในคุกซีเรีย


ผู้หญิงต้องกลายเป็นเหยื่อของสงครามกลางเมืองในประเทศซีเรียที่ยืดยาวมาตลอด 7 ปี  ผู้หญิงเหล่านี้ต้องถูกจำคุกในเรือนจำของระบอบการปกครองของบัชชาร์ อัล-อัสซาด โดยปราศจากความผิด  โดยพวกเธอต้องถูกซ้อมทรมานและถูกข่มขืน หญิงหลายคนที่รอดชีวิตจากคุกของรัฐบาลอัสซาดออกมาได้  ต่างเล่าให้ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอะนาโดลูฟังถึงความทุกข์ทรมาน และความน่าสะพรึงกลัวที่พวกเธอได้เคยประสบกับตัวเองและเพื่อนๆ ที่เคยอยู่ร่วมกันในเรือนจำต่างๆ

อ้างจากรายงานของกลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในซีเรีย (Syrian Observatory for Human Rights) เปิดเผยว่า มีผู้หญิงถูกกักขังอย่างน้อย 7,009 คนถูกจำคุกในเรือนจำของรัฐบาลอัสซาด โดยไม่มีขบวนการพิจารณาคดีแต่อย่างใด  ทางกลุ่มยังมีการเปิดเผยรายงานว่า กรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอัสซาดข่มขืนผู้ต้องขังมีทั้งหมด 7,699 รายที่ถูกข่มขืน ซึ่งมีผู้หญิงอย่างน้อย 864 คนและอย่างน้อย 432 คนเป็นเด็กหญิงที่ถูกกักขังในศูนย์กักกัน
อย่างไรก็ตาม จำนวนที่แท้จริงของผู้หญิงที่ถูกข่มขืนในสถานกักกันมีมากกว่าจำนวนที่รายงานโดยกลุ่มสังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน เนื่องจากการจับกุมส่วนใหญ่ไม่ได้มีการบันทึกข้อมูลเอาไว้  และเหยื่อจากการถูกข่มขืนก็ถูกบังคับให้อยู่เงียบๆ

เด็กหญิงชั้นมัธยมปีที่3 ถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำ 6 คนรุมข่มขืนต่อหน้าทุกๆ คน
อุม มูฮัมหมัด (Um Muhammad) อาศัยอยู่ในฆูเฏาะฮฺตะวันออก ชานเมืองของดามัสกัส เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอัสซาดได้บังคับให้เธอขึ้นรถยนต์ ขณะที่เธอแต่งตัวไปทำงานด้วยการสวมนิกอบ (ผ้าปิดหน้า) ในตอนเช้าของวันหนึ่งในปี พ.ศ 2555 (หรือปีค.ศ. 2012) เจ้าหน้าที่นำตัวเธอไปไว้ในศูนย์กักกันและเริ่มตบตีเธอ  หลังจากถูกสอบปากคำสามครั้ง และถูกขังไว้ในห้องๆ หนึ่งพร้อมกับผู้ต้องขังหญิงอีก 7 คน  อุมมูฮัมหมัดเล่าว่าเธอถูกใช้กำลังบังคับให้ถอดฮิญาบ หรือผ้าคลุมศีรษะออก

“คุณสามารถอ่านสีหน้าของทุกๆ คนที่อยู่ในห้องๆ นั้นได้เลยว่าถูกทรมานมา  มีเด็กมัธยมปีที่ 3  คนหนึ่งถูกข่มขื่นโดยเจ้าหน้าที่เรือนจำ 6 คน และพวกเขาก็ข่มขืนต่อหน้าทุกๆ คน  เด็กหญิงคนนี้มาจากครอบครัวที่เคร่งครัดศาสนาอิสลาม หลังจากนั้นพวกเขาก็นำตัวเธอไปที่อื่นโดยไม่กลับมาอีกเลย ถ้าเด็กยังมีชีวิตอยู่ เด็กคนนี้ต้องกลับมาอีกแน่นอน”  อุมมูฮัมหมัด กล่าว

แม้กระทั่งผู้หญิงวัย 55 ปียังถูกข่มขื่นในเรือนจำของรัฐบาลซีเรีย
อุมมูฮัมหมัดได้เล่าให้ฟังว่า นางขัดขืนเมื่อเจ้าหน้าที่เรือนจำใช้ความรุนแรงดึงฮิญาบเธอออกจากศีรษะ  “ด้วยเหตุที่ฉันขัดขืนนี้เอง  ทำให้ฉันต้องถูกทรมาน  ฉันถูกข่มขืนต่อหน้าทุกๆ คนที่นั่น แม้กระทั่งผู้หญิงที่อายุ 55 ปียังถูกข่มขืนเลย”

หลังจากถูกจับกุมไปได้ 5 หรือ 6 วัน อุมมูฮัมหมัดเล่าว่า นางถูกจับขังเดี่ยวเป็นเวลา 2 เดือนครึ่ง และทางเจ้าหน้าที่เรือนจำให้ขนมปังเพียงเล็กน้อย และเนยแข็งในทุกๆ 10 วัน นางล้มป่วยหนัก และระบบประสาทของเธอได้รับความเสียหาย  เพราะสิ่งที่เธอประสบในเรือนจำ

อุมมูฮัมหมัดได้เล่าว่ามีชายร่างใหญ่เข้ามาในห้องขังของเธอ และได้ทุบตีจนสลบไป  “มีคนอื่นเหมือนกันที่ต้องอยู่ในสภาพเดียวกับฉัน  เธอเป็นครูอายุประมาณ 30 กว่าๆ เธอถูกทรมานหนักกว่าฉันเสียอีก”

คุณยังมีศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงเมื่อเข้าไปในคุก แต่พอคุณออกมาศักดิ์ศรีไม่เหลืออยู่เลย

นี่เป็นการเน้นย้ำถึงผู้หญิงทั้งหมดที่ถูกกักขังในเรือนจำของรัฐบาลอัสซาดว่าพวกเธอต่างถูกข่มขืน อุมมูฮัมหมัดเล่า “คุณยังมีศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงแต่คุณไม่สามารถที่จะออกมาจากคุกได้ถ้ายังมีศักดิ์ศรีเหลืออยู่  ผู้หญิงถูกข่มขืนและถูกทรมานหลายต่อหลายครั้ง ส่วนตัวฉันเองถูกขังอยู่ในห้องขัง แต่ฉันก็ได้ยินเสียงผู้คนกรีดร้องและตะโกนเสียงดังลั่นเพราะต้องถูกทรมานด้วยความเจ็บปวดและถูกฆ่าตาย  เสียงของพวกเขายังคงก้องอยู่ในหัวและในหูของฉัน  มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะลืมเรื่องเหล่านั้น”  อุมมูฮัมหมัดได้เล่าต่อว่า หลังจากออกจากเรือนจำเธอยังคงถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ครอบครัวของเธอไม่ยอมรับในตัวเธอ เธอเคยแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง แต่กลับต้องถูกหย่าโดยสามีของเธอเอง หลังจากเขารู้ว่าเธอถูกข่มขู่มา

ฉันล้มลงไปทุกครั้งเมื่อถูกพวกเขาทุบตี แต่พวกเขากลับดึงฉันขึ้นมาใหม่และทุบตีฉันต่อไปเรื่อยๆ  
เซย์ฮา อัล-บารุดายะฮฺ (Sayha Al-Barudaya)  ผู้เป็นมารดาที่ถูกทรมานในเรือนจำของรัฐบาลอัสซาด ถูกคุมขังอยู่ที่ด่านระหว่างทางไปยังเบรุตเมืองหลวงของเลบานอนกับสามีของเธอ  บารุดายะฮฺเล่าว่าเธอถูกจับกุมตัวเพราะพกใบอนุญาตล่าสัตว์ของสามีในกระเป๋าของเธอ  เธอเล่าว่าเธอถูกสอบปากคำและถูกทรมานเป็นเวลาหลายชั่วโมงในสถานกักกันแห่งหนึ่งในข้อหาที่ “ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการก่อการร้าย”  เธอเล่าได้ต่อว่า  “ฉันล้มลงทุกๆ ครั้งเมื่อพวกเขาทุบตีฉัน แต่พวกเขากลับดึงฉันขึ้นมาใหม่ และทุบตีฉันต่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังจากนั้นฉันถูกสอบปากคำต่อที่ค่ายทหาร หลังจากนั้นฉันถูกใส่กุญแจมือพร้อมปิดตา และถูกโยนเข้าไปในห้องขัง  พวกเขาเปิดประตูห้องขังหลังจาก 48 ช.ม.ผ่านไป และโยนขนมปังให้ฉันทาน 1 ชิ้นและมีเม็ดมะกอกเพียง 3 ลูก”

2 ทางเลือกภายใต้สภาพถูกข่มขู่อย่างหนัก: ยอมรับต่อข้อกล่าวหาที่ไม่ได้กระทำหรือเดินหน้าอดทนต่อไป 
บารุดายะฮฺ ผู้เคยอาศัยอยู่ในจังหวัดฮอมส์  เล่าให้ฟังว่า เพราะอยู่ในสภาพช็อคในขณะถูกทรมาน คนๆ หนึ่งอาจจำต้องยอมรับในทุกๆ ข้อหาที่ถูกยัดเหยียดให้ หรือไม่ก็เดินหน้าอดทนต่อไปและไม่ยอมรับข้อกล่าวหา  “ส่วนฉันนั้นเลือกที่จะอดทนและสาบานที่จะต่อต้านให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะถูกปล่อยตัวหรือถูกจับโยนเข้ากรงขัง ฉันเคยเป็นอาสาสมัครให้กับสภาเสี้ยววงเดือนแดง ฉันช่วยเหลือทุกๆ คนที่บาดเจ็บ หรือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม แต่พวกทรราชย์เหล่านี้กลับกล่าวหาเราว่าช่วยเหลือกลุ่มก่อการร้าย”

เธอบอกว่ามีผู้หญิงอีก 3 คนที่แชร์ห้องขังร่วมกับเธอ และพวกเธอก็ถูกกล่าวหาในข้อหาที่เหมือนกับเธอ “ฉันถูกสอบปากคำเป็นเวลา 8 ชั่วโมง โดยที่ถูกปิดตา ถูกใส่กุญแจมือ และขาก็ถูกมัดไว้ เมื่อปฏิเสธในหลายๆ ข้อกล่าวหา เธอถูกนำตัวไปที่ห้องที่มีน้ำขังสูงถึงข้อเท้า และเธอถูกจับมัดห้อยจากเพดาน ถูกใส่ด้วยกุญแจมือไขว้ไว้ด้านหลัง  “พวกเขาทรมานฉันด้วยวิธีต่างๆ เมื่อฉันหมดสติลง พวกเขาใช้ไฟฟ้าช็อตฉันด้วยการใช้น้ำที่อยู่บนพื้นห้อง  เรามีกันทั้งหมด 66 คนในห้อง แล้วฉันถูกย้ายไปอยู่เรือนจำกลางที่จังหวัดฮอมส์ พวกเขาขังเราไว้ร่วมกันกับพวกที่มีคดีค้ายาเสพติด คดีข่มขืน และคดีฆ่าคนตาย  การที่ฉันต้องทนดูเด็กสาวอายุเพียง 18 ปีซึ่งเป็นผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในบานิยาส ที่เธอถูกจำคุกในเรือนจำเดียวกับฉัน รัฐบาลอัสซาดประพฤกติกับพวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นอาชญากร ทำให้ฉันรู้สึกหลอนเป็นอย่างมาก  มันทำให้ฉันคิดว่าผู้หญิงในซีเรียทั้งหมดถูกจับเข้าเรือนจำของรัฐบาลอัสซาด”

“ผู้ต้องขังมีสภาพไม่ต่างอะไรกับศพที่เดินได้ กระดูกติดหนังเพราะความอดยาก ตามร่างกายมีแผลเต็มไปหมดเพราะถูกทุบตีอย่างหนัก” บารุดายะฮฺเล่าวว่าผู้ต้องขังที่เธอเห็นถูกทรมานที่เรือนจำบานอน หลังจากที่เธอถูกย้ายมาจากเรือนจำในจังหวัดฮอมส์

ฉันได้กลิ่นแต่คนตายและกลิ่นศพที่โชยไปทั่ว
บารุดายะฮฺ เล่าถึงในตอนที่เธอถูกย้ายมาประจำที่เรือนจำบานอน  เจ้าหน้าที่เรือนจำล้วนเป็นพวกชีอะฮฺจากอิหร่าน “ฉันได้กลิ่นแต่คนตายและกลิ่นศพที่โชยไปทั่ว ขณะที่เดินลงบันไดเพื่อมายังห้องขัง ฉันได้กลิ่นเหม็นเน่าของศพในทุกๆ ห้องขัง”  เธอบอกว่าเธอถูกนำตัวมาขังร่วมกับผู้หญิงอีก 43 คน ในห้องไม่มีอากาศถ่ายเทเลย และผู้ต้องขังบางคนต้องทนทุกข์ทรมานจากการติดเชื้อหลายโรค  “พวกเธอต่างพากันกรูมาหาฉัน ราวกับมีผู้ส่งฉันมาจากฟากฟ้า และพวกเธอต่างถามฉันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโลกภายนอก  พวกเธอดูตื่นเต้นราวกับว่ารัฐบาลอัสซาดจะล่มสลายในวันต่อมา และพวกเธอก็จะถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระ” 

บารุดายะฮฺบอกว่า เจ้าหน้าที่เรือนจำให้มันฝรั่งต้มหนึ่งลูกต่อผู้ต้องขัง 4 คนหลังจาก 3 วันที่ไม่มีการให้อาหารแต่อย่างใด  “ฉันไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ เนื่องจากไม่มีรายชื่อในทะเบียนนักโทษ ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันแบ่งส่วนมันฝรั่งให้กับฉัน แม้กระทั่งมีความยากลำบาก แต่พวกเขาก็ร่วมแบ่งปันมันฝรั่งที่มีเพียงเล็กน้อยให้กับฉัน  ฉันร้องไห้สะอื้นพร้อมรู้สึกโล่งใจที่มีเพื่อนร่วมห้องขังที่ดี  พวกเราไม่ได้นอนหลับกันเลย เพราะมีเสียงร้องโหยหวนมาจากผู้ต้องขังที่มียังมีอายุน้อยอยู่  ซึ่งเสียงเหล่านั้นเริ่มจาก 21.00 น.เป็นต้นไป   เราได้ถูกอนุญาตให้ออกมานอกห้องขังได้เป็นเวลา 15 นาทีตอน 9.00 น. และ 17.00 น.”

ชาบิฮา กองทหารอาสาสมัครของรัฐบาลอัสซาดดึงผมฉันลากไปกับพื้นต่อ
หน้าเพื่อนบ้านทั้งชุมชน ผมและร่างกายส่วนบนของฉันถูกเปิดเผยต่อหน้า
สาธารณชน

มาเรียม (Maryam) จากจังหวัดฮอมส์ อายุ 24 ปีแม่ลูก 4 เธอเป็นหนึ่งในผู้หญิงหลายต่อหลายคนที่ถูกข่มขื่นและทรมานในเรือนจำของรัฐบาลอัสซาด ซึ่งตอนเริ่มต้นของสงครามกลางเมือง มาเรียมได้ร่วมเดินขบวนประท้วงรัฐบาลอัสซาดในฮอมส์ ที่ลูกพี่ลูกน้องของเธอเป็นหัวหน้าในการจัดงาน หลังจากรัฐบาลอัสซาดเริ่มใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่มาประท้วงกันอย่างสันติ เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล พวกเขาเริ่มจัดตั้งโรงพยาบาลสนามกันขึ้น และมาเรียมได้เข้าไปเป็นอาสาสมัครอยู่ที่นั่น  เมื่อรัฐบาลอัสซาดได้เข้ามายังจังหวัดฮามา มาเรียมได้เล่าว่า “กองทหารอาสาสมัครชาบิฮาได้พังประตูเข้ามา และบุกเข้าบ้าน ขณะที่มาเรียมรีบวิ่งไปซ่อนตัว พวกชาบิฮาจับลูกสาววัย 4 ขวบพร้อมกับเขย่าตัวเด็กอย่างรุนแรงแล้วถามเด็กว่า “แม่หนูอยู่ที่ไหน?  “ลูกของฉันปัสสาวะราดเลยในวันนั้น และลูกสาวคนนี้ยังประสบภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จนถึงปัจจุบันนี้  หลังจากพบตัวฉัน พวกชาบิฮาเริ่มดึงผมลากฉันไปกับพื้นต่อหน้าเพื่อนบ้านทั้งชุมชน ผมและร่างกายส่วนบนของฉันถูกเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน ฉันถูกบังคับให้ขึ้นรถและเห็นเด็กสาวอีก 4 คนนั่งอยู่บนรถ”


เจ้าหน้าที่เรือนจำได้ถ่ายรูปพวกเรา หมายเลขประจำตัวของฉันคือ 581 หรือ 518 ส่วนการที่คิดว่า ผู้หญิงจะถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำที่เป็นผู้หญิงค้นตัวนั้นเป็นเรื่องที่โกหกสิ้นดี  เจ้าหน้าที่เรือนจำผู้ชายได้ทำการค้นตัวฉันหลังจากบังคับให้ฉันแก้ผ้า  มันทำให้ฉันรู้สึกไม่เหลือความเป็นมนุษย์ไปเลยในทันที
มาเรียมบอกว่ามีเตียงเดี่ยวในห้องสอบปากคำ “มันไม่มีการสิ้นสุดของการถูกทรมาน เราไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังเที่ยงคืน  ผู้บังคับบัญชาสุไลมาน จะเลือกเด็กสาวที่สวยที่สุด และลากเข้าไปในห้องนั้น มันมี 2 ห้องในสำนักงานของเขา ข้างหน้าใช้เป็นสำนักงาน และข้างหลังเป็นห้องที่ใช้สำหรับข่มขื่น  ฉันอ้อนวอนเขาว่า “อย่าทำเลย เพื่ออัลลอฮฺ! เขากลับตอบกลับมาว่า “ไม่เห็นมีอัลลอฮฺเลย” ฉันบอกกับเขาว่า “เพื่อศาสดา! ผู้บังคับบัญชาสุไลมานกลับตอบฉันว่า “ศาสดาไปเที่ยวแล้ว”  เขายังมีหน้ามาถามฉันด้วยคำถามที่ชวนสะอิดสะเอียนเช่น “ใครกันหนอที่มีรสชาติที่อร่อยกว่ากัน พวกเราหรือพวกกองทัพปลดปล่อยซีเรีย? 

“หนึ่งในเด็กสาวที่ถูกข่มขืนได้ตั้งท้องขึ้นมา เธอยังถูกข่มขืนต่อขณะที่ยังตั้งท้อง  เธอต้องคลอดลูกขณะที่ท้องได้ 6 เดือน พวกเขายิงลูกของเธอต่อหน้าเธอเลย เด็กสาวคนนั้นกลายเป็นคนเสียสติไปเลย ตอนนี้ผู้ปกครองของเธอต้องจับมัดเธอกับเชือก หนึ่งในเพื่อนของฉันเคยเป็นเพื่อนของเธอตอนสมัยที่เรียนแพทย์ด้วยกันในปีที่ 3 เพื่อนของฉันก็เป็นสาวโสด และก็ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอัสซาดข่มขืนด้วยเหมือนกัน มีเด็กหนุ่มชื่ออะฮฺหมัด มาจากเขตซะฟิร่า เขาจะร้องไห้อย่างขมขื่นเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของพวกเรา  เราถูกทรมานในทุกๆ ตอนเช้า และถูกข่มขืนในตอนพลบค่ำ  ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครได้ยิน อาชญากรรมของพวกเราคืออะไร?  เราช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ เราส่งอาหารให้กับครอบครัวที่อดยากที่ถูกรัฐบาลซีเรียปิดล้อม”[1]

📢 คลิปวีดีโอสัมภาษณ์หญิงชาวซีเรียออกมาเปิดเผยประสบการณ์ที่พวกเขาถูกเจ้าหน้าที่ทหารของรัฐบาลบัชชาร์ อัล-อัสซาดข่มขืน:  https://www.facebook.com/watch/?v=2769211366441222


Monday, June 17, 2019

มุรซีย์เสียชีวิตขณะขึ้นศาลในกรุงไคโร




สถานีโทรทัศน์อียิปต์ รายงานข่าวว่า มูฮัมหมัด มุรซีย์ วัย 67 ปี อดีตประธานาธิบดีอียิปต์ ล้มฟุบในคอกจำเลยในศาล หลังขึ้นให้ปากคำกับพิพากษาในกรุงไคโรของอียิปต์ เมื่อวานนี้ (17 มิ.ย.) และเขาไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลตอนเวลา 16.50น.(ตรงกับเมืองไทย 21.50น.) 


ประธานาธิบดีของตุรกี รอยั๊บ ฏอยยิบ อัรดูฆอน เป็นผู้นำคนแรกที่ออกมาแสดงความเสียใจต่อการจากไปของมุรซีย์ และกล่าวยกย่องเขาว่า ‘เป็นการเสียชีวิตในหนทางของอัลลอฮฺ’ “ขออัลลอฮฺทรงให้น้องมุรซีย์ได้พักผ่อนอย่างสงบสุข โอ้วิญญานของผู้เสียชีวิตในหนทางของอัลลอฮฺ” อัรดูฆอนกล่าว


ด.ร.มุรซีย์เป็นประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2012 หลังจากที่ประชาชนในอียิปต์ลุกฮือขับไล่ฮุสนี มุบาร็อก อดีตผู้นำรัฐบาลเผด็จการได้สำเร็จเมื่อปี 2555 มุรซีย์อยู่ในตำแหน่งได้เพียง 1 ปี เนื่องจากมีกลุ่มประชาชนบางส่วนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านเขาในปี 2011 ก่อนถูกกองทัพที่นำโดยพลเอก อับดุล ฟาตะห์ อัล-ซีซี ก่อรัฐประหารโค่นอำนาจในปี 2013


นับตั้งแต่ถูกโค่นอำนาจในวันที่ 3 กรกฎาคม 2013 อับดุล ฟัตตะฮฺ อัล-ซิซี อดีตรัฐมนตรีกลาโหมของมุรซีย์ ซึ่งได้ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี กลุ่มภราดรภาพที่มุรซีย์สั่งกัดถูกแบน และอัลซีซียังคงเดินหน้ากวาดล้างเหล่าผู้สนับสนุนของมอร์ซีจากกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ส่งผลให้มีคนถูกจำคุกหลายพันราย และในนั้นหลายร้อยคนถูกศาลสั่งประหารชีวิต


มุรซีย์ถูกศาลยัดให้หลายข้อหา - ข้อหาเป็นสายลับให้อิหร่าน, กาตาร์ และกลุ่มนักรบต่างๆ อย่างเช่นฮามาสในฉนวนกาซ่า นอกจากนี้แล้วเขายังถูกกล่าวหาวางแผนก่อการร้ายอีกด้วย


มีรายงานว่า มุรซีย์ เป็นลมล้มฟุบหลายครั้งมาแล้ว ขณะที่ถูกนำตัวขึ้นศาล กลุ่มสิทธิเพื่อมนุษยชนหลายองค์กรเช่นองค์กรฮิวแมนไรท์วอตช์ระบุว่า มุรซีย์ถูกทรมาน และถูกปฏิเสธที่จะส่งเขาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่เขามีสุขภาพย่ำแย่มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ซึ่งรวมทั้งโรคเบาหวาน โรคตับและไตเรื้อรัง


นอกจากนั้นแล้ว มุรซีย์ยังถูกปฏิเสธให้พบทนาย และถูกอนุญาตให้ภรรยาและลูกสาวเท่านั้นที่สามารถเข้าเยี่ยมเขาได้แค่ 3 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2013 ที่เขาถูกส่งตัวเข้าไปอยู่ในเรือนจำ



https://www.aljazeera.com/…/egypt-president-mohamed-morsi-d…

Saturday, June 1, 2019

เด็กวัยรุ่นชาวปาเลสไตน์ถูกยิงเสียชีวิตขณะพยายามข้ามด่านตรวจเพื่อไปละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดอัลอักซอ





“ผมเลี้ยงลูกมา 16 ปีเฝ้าดูลูกเติบโต และลูกผมถูกฆ่าภายในวินาทีเดียว ด้วยกระสุนเพียงนัดที่ยิงโดยทหารชาติชั่ว ที่ทำให้ชีวิตลูกของผมจบลงได้” พ่อของอับดุลลอฮฺซึ่งมีลูกเพียงคนเดียวพูดในคลิปวีดีโอ ขณะร่ำลาลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย

******************



อับดุลลอฮฺ ฆออิธ Abdullah Ghaith เด็กวัยรุ่นวัย 16 ปีอาศัยอยู่ในพื้นที่ยึดครองเวสแบงก์ ถูกกองกำลังอิสราเอลยิงเข้าที่หน้าอกเสียชีวิตและชายหนุ่มอีกคนบาดเจ็บสาหัสขณะที่พวกเขาพยายามข้ามด่านตรวจเพื่อไปละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดอัลอักซอ โดยเหตุเกิดขึ้นใกล้หมู่บ้านดาร์ซอละฮ์ ทางตะวันออกของเบธเลเฮม เมื่อวันศุกร์ที่ 31 พ.ค. 2019

อ้างจากแหล่งข่าวท้องถิ่นเล่าว่า ทหารอิสราเอลหลายนายที่ประจำด่านมัสมูริยะฮ์ทางตะวันออกของเบธเลเฮมเริ่มเปิดฉากยิงใส่กลุ่มชาวปาเลสไตน์ขณะที่กลุ่มชาวปาเลสไตน์พยายามเดินทางไปละหมาดญุมอะฮ์ที่มัสยิดอัลอักซอ ซึ่งเป็นวันศุกร์สุดท้ายของเดือนเราะมาฎอน

อับดุลลอฮฺ ถูกยิงเข้าที่หน้าอกบาดเจ็บสาหัส แถมทหารปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาพักใหญ่ ก่อนที่จะพาไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งปรากฏว่าเด็กไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ส่วนชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่ถูกยิงที่บริเวณหน้าท้องคือ มุมิน อบู ตาบีช  วัย 21 ปี จากค่ายลี้ภัยอัลเฟาวาลในอัลคาลิล อยู่ในสภาพวิกฤต

ชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ยึดครองเวสแบงก์ถูกรัฐอิสราเอลกีดกันไม่ให้ไปละหมาดที่มัสยิดอัลอักซอ จนกว่าจะมีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไปก็จะถูกผ่อนปรนให้เดินทางผ่านด่านไปละหมาดได้ ซึ่งทั้งเด็กและวัยรุ่นชายจะถูกปฏิเสธไม่ให้ข้ามด่านตรวจไปละหมาดที่มัสยิดอัลอักซอ แต่วัยรุ่นหลายพันคนมักกระโดดข้ามกำแพงสูงที่อิสราเอลสร้างขึ้นมาเพื่อเข้าไปละหมาดที่มัสยิดอัลอักซอ เพื่อเป็นการต่อต้านคำสั่งห้ามของอิสราเอลที่ไม่ต้องการให้พวกเขาไปละหมาดที่มัสยิดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดลำดับ 3 ของอิสลาม

ที่มาของข้อมูล



📌💔 ชายชาวปาเลสไตน์ชูร่างเด็กแรกเกิดหัวขาดในกาซ่า

ข่าวที่สื่อกระแสหลักทั่วโลกรวมทั้งในไม่ต้องการเสนอ คลิปชายชูร่างทารกแรกเกิดวัย 2 อาทิตย์ ในสภาพหัวขาด จากการที่กองทัพอิสราเอลทิ้งระเบิดถล่มค...