ตีแผ่เหตุการณ์สังหารหมู่ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านตูลาโตลี้ - เรื่องราวของชาวโรฮิงญาที่ถูกรุมข่มขืน
เด็กๆ ถูกจับเผาทั้งเป็น และการสังหารชาวโรฮิงญา
“พวกเขา (ทหาร) ฆ่า แล้วก็ฆ่า และจับศพวางทับซ้อน
ๆ กันลงไปจนสูง เหมือนกับการตัดไม้ไผ่”
นางมุมตัสซ์ หญิงชาวโรฮิงญาจากหมู่บ้านตูลาโตลี้ในทางตะวันตกของพม่า
เล่าเรื่องโศกนาฏกรรมที่นางประสบกับตัวเอง
นางมุมตัสซ์และลูกที่ช่วยเธอรอดชีวิตจากการถูกเผาทั้งเป็น
“ในกองนั้นมีทั้งคอ ศีรษะ
ขาของใครบางคน ฉันออกมาจากกองนั้นได้ แต่ก็ไม่รู้เลยว่าออกมาได้ยังไง” เหตุสยองขวัญที่มุมตัสซ์ต้องเผชิญไม่ได้จบแค่ตรงนั้น หลังจากที่หลบหนีออกมาจากกองศพของชาวโรฮิงญาที่ถูกทหารสังหารหมู่ นางมุมตัสซ์เล่าต่อว่า นางได้เจอกับทหารพม่า
พวกเขาจึงลากนางไปที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านและรุมข่มขื่นนาง จากนั้นนางถูกขังในบ้านไม้หลังนั้นและพวกเขาได้จุดไฟเผา แต่ปรากฏว่าลูกสาววัย 7
ขวบชื่อราซิยะฮฺได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้
“หนูเรียกแม่ และแม่ถามหนูว่า ‘เธอเป็นใคร?’” เด็กเล่าให้ฟัง “แม่หนูหัวแตก
แม่หนูถูกโยนไว้มุมหนึ่งของกระท่อม
พวกทหารทุบตีหนู แล้วได้โยนหนูเข้าไปในกระท่อมหลังเดียวกัน หนูบอกกับแม่ว่าไฟไหม้นิ้วแม่
จากนั้นทั้งแม่และหนูหนีออกมาได้และพากันวิ่งหนี”
ทั้งแม่และลูกสาวได้บีบตัวผ่านบางส่วนของรั้วที่ถูกทำลาย
และพากันไปหลบตามท้องร่องสวนก่อนที่ชาวบ้านมาพบ และพากันช่วยแม่ลูกคู่นี้ลี้ภัยข้ามไปยังบังกลาเทศ
โดยตอนนี้มีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยแล้ว 615,000 คน
นับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา อ้างตัวเลขจากองค์กรช่วยเหลือผู้ลี้ภัย
ด.ญ.ราซิยะฮฺวัย 7 ขวบถูกทหารพม่าทำร้ายขณะที่ ทั้งหมู่บ้านถูกทหารบุกเข้า โจมตี โดยทั้งครอบครัวของเด็กเสีย ชีวิตทั้งหมด แต่เด็กได้ช่วยแม่ให้รอดชีว ิตจากการถูกเผาทั้งเป็น
ผู้ลี้ภัยหนีการปะทะกันอย่างรุนแรงในรัฐทางตอนเหนือของรัฐยะไข่ โดยกองทัพของพม่าได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเรียกว่า
"การกวาดล้าง" ที่อ้างว่าพุ่งเป้าหมายการโจมตีไปที่
"ผู้ก่อการร้าย" หลังจากกองกำลังติดอาวุธชาวโรฮิงญาได้โจมตีป้อมตำรวจหลายแห่ง
สังหารเจ้าหน้าที่ไป 12 นาย
ส่วนทางยูเอ็นอธิบายถึงเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ว่า “คือตัวอย่างตำราของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” และเหตุสังหารพลเรือนในหมู่บ้านของมุมตัสซ์ในวันที่
30 สิงหาคมถือว่าเป็นหนึ่งในการกระทำที่เหี้ยมโหดที่สุดโดยกองทัพพม่าในช่วงสองเดือนครึ่งที่ผ่านมา
สารคดีเหตุการณ์สังหารหมู่
นายชาฟิอุรฺ
เราะฮฺมาน ผู้ผลิตสารคดีชีวิตชาวโรฮิงญาเชื้อชาติบังกลาเทศ-สัญชาติอังกฤษ ได้ยินเรื่องเหตุการณ์ที่ตูลาโตลี้ครั้งแรกหลังจากที่เขาได้ไปเฝ้าถ่ายทำชาวโรฮิงญากลุ่มหนึ่งที่ข้ามพรมแดนระหว่างเมียนมาร์และบังกลาเทศในวันที่
2 กันยายน ซึ่งเป็นเวลาสามวันหลังจากการสังหารหมู่
“มันได้กลายเป็นความชัดเจนในเวลาที่รวดเร็วจากการได้ยินเรื่องเล่าที่สยองขวัญของชาวโรฮิงญาที่ลี้ภัยมาจากตูลาโตลี้ที่เกิดขึ้น
3 วันที่ผ่านมา และสิ่งที่ทำให้ผมไม่คาดคิดมาก่อนก็คือการได้ยินเรื่องเล่าต่างๆ จากผู้รอดชีวิตที่สอดคล้องกันไปหมด” นายเราะฮฺมานได้กล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น
นายเราะฮฺมานได้พบกับมุมตัสซ์และราซิยะฮฺในบังคลาเทศในช่วงสิ้นเดือนกันยายน
สภาพนางมุมตัสซ์เหมือนกับมัมมี่ที่มีผ้าพันแผลเต็มหน้า
และนางต้องนอนอยู่ที่คลีนิคเป็นเวลา 15 วัน ไม่สามารถพูดอะไรได้ หรือแม้กระทั่งไม่สามารถจิบน้ำจากแก้วได้เลย พอประมาณกลางเดือนตุลาคม
แผลที่ไหม้ที่หน้าและลำตัวเริ่มค่อยๆ ฟื้นตัว
และนางมุมตัสซ์เริ่มให้สัมภาษณ์เรื่องราวของนางกับนายเราะฮฺมาน
เรื่องราวของการถูกรุมข่มขื่น การสังหาร และการลอบวางเพลิง
ถูกเล่าโดยชาวโรฮิงญาผู้ลี้ภัยหลายแสนคนที่หลบหนีมาจากเมียนมาร์ แต่นายเราะฮฺมานเลือกสัมภาษณ์ชาวโรฮิงญา 30 คนที่เคยอาศัยในตูลาโตลี้ในช่วง
2 เดือนที่ผ่านมา
องค์กรแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลอธิบายไว้ในรายงานฉบับประจำเดือนตุลาคม
ปี 2017 "ดูเหมือนว่าเป็นหนึ่งในการกระทำที่เลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งของแคมเปญการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกองทัพเมียนมาร์" องค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
เชื่อมั่นตามหลักฐานของเรื่องเล่าต่างๆ จากปากของพยานที่ได้ยืนยันว่า
ทหารเมียนมาร์ได้สังหารหมู่ที่มีเหยื่อเป็นหญิง ชาย และเด็กๆ จากมินยีในวันที่ 30
สิงหาคม” สรุปรายงานขององค์กรแอมเนสตี้ มินยีเป็นอีกชื่อหนึ่งของหมู่บ้านตูลาโตลี้
‘พวกเขาอาจจะเผาบ้าน แต่จะไม่ฆ่าใคร‘
นายเราะฮฺมานบันทึกวีดีโอสัมภาษณ์ชาวโรฮิงญาผู้รอดชีวิตจากตูลาโตลี้
30 คนโดยพวกเขาเล่าว่า เจ้าหน้าที่เมียนมาร์ระดับท้องถิ่นบอกกับชาวบ้านที่เป็นชาวโรฮิงญาว่าพวกเขาจะปลอดภัยถ้ายังคงอยู่ในหมู่บ้าน นายมูฮัมหมัด นาซิรฺ เล่าให้ฟังว่าเขาถูกบอกว่า
“พวกเขา (ทหารเมียนมาร์) อาจจะเผาบ้าน แต่พวกเขาจะไม่ฆ่าใคร”
ชาวบ้านในตูลาโตลี้เล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่า
เฮลิคอปเตอร์ลงจอดใกล้หมู่บ้านตอน 8 โมงเช้าของวันที่ 30 สิงหาคม ทหารพม่าร่วมกับชาวพุทธยะไข่อีก 50
คนและคนที่เป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่ใช่โรฮิงญาที่มาจากนอกหมู่บ้าน ได้จู่โจมเข้ามายังหมู่บ้าน “พวกเขาบอกให้เราไปรวมตัวกันที่ริมแม่น้ำ เมื่อพวกเขาเห็นชาวโรฮิงญาอยู่รวมกัน
พวกเขาตรงดิ่งไปที่ชาวโรฮิงญาเหล่านั้น และยิงใส่พวกเขาอย่างต่อเนื่อง
แล้วยังมีการจุดไฟเผาบ้านเรือนในเวลาเดียวกัน”
นาซิรฺกล่าว
ชาวโรฮิงญาอีกคนคือนางเรฮาน่า
เบกุม เล่าเหมือนกันว่านางก็ถูกบอกให้ออกจากบ้านและไปยืนรออยู่ใกล้ริมแม่น้ำ “พวกเขาให้เราไปอยู่ที่นั่นโดยบอกว่า พวกเขาจะไม่ทำร้ายพวกเรา เวลาตอน 8 โมงเช้า เฮลิคอปเตอร์ลงจอดและหมู่บ้านเราก็ได้ถูกปิดล้อม
ใครที่ยังหนีทันก็รีบหนีไป
ทหารพม่าล้อมเราไว้อย่างกระทันหันและเราไม่สามารถหลบหนีไปได้ เพราะเรายืนรวมกันและมันติดกับแม่น้ำ ตอนนั้นแม่น้ำมีคลื่นสูง ไม่มีเรือเลยสักลำ พี่ชายหลายคนของฉันสามารถอุ้มลูกๆ ฉันไปได้ และฉันก็ว่ายน้ำเป็นจึงหนีรอดไปได้ หลายต่อหลายคนถูกยิง แล้วพวกเขาก็ล้มตัวลง คนที่ล้มลงเหล่านั้นได้ถูกจับขึ้นมา
ถูกสับเป็นชิ้นๆ แล้วโยนทิ้งลงในแม่น้ำ”
นางเรฮาน่าเล่าให้นายเราะฮฺมานฟังถึงเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว
นางฮาซานะฮฺ
หญิงชาวโรฮิงญาอีกคนหนึ่งที่ลี้ภัยมาจากตูลาโตลี้ เล่าให้ฟังว่า ทหารและพรรคพวกของเขาได้โยนลูกสาว
ด.ญ.ซูไฮฟะฮฺ วัยหนึ่งขวบ เข้าไปในกองไฟขณะที่เด็กยังมีชีวิตอยู่ “พวกเขาแย่งลูกไปจากอ้อมแขนฉัน” แล้วนางก็ปล่อยโฮออกมา “พวกเขาโยนลูกน้อยของฉันลงไปในกองไฟที่มีเสื้อผ้าเป็นเชื้อเพลิง
พวกทหารจุดไฟด้วยการใช้ข้าวของของประชาชน
แล้วพวกเขาโยนลูกของฉันลงไปในกองไฟขนาดใหญ่”
ส่วนสามีของนางฮาซานะฮฺได้ออกไปทำงานนอกหมู่บ้านในตอนที่ทหารพม่าบุกสังหารประชาชนชาวโรฮิงญา
และได้มาพบกับภรรยาของเขาอีกครั้งที่บังกลาเทศ โดยที่มาทราบทีหลังว่า ลูกสาวคนเดียวของเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว
หัวหน้าหมู่บ้านเรียกชาวโรฮิงญากับชาวพุทธลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ
ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีความขัดแย้งใดๆ ระหว่างศาสนามาก่อน
ก่อนหน้าที่ทหารเมียนมาร์และพรรคพวกได้บุกโจมตีหมู่บ้าน
ในวันที่ 18 สิงหาคม หัวหน้าหมู่บ้านได้มีการเรียกชาวโรฮิงญา และชาวพุทธยะไข่จากตูลาโตลี้เข้าประชุมเพื่อลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ
ขณะที่หมู่บ้านซึ่งมีชาวโรฮิงญา
4,360 คนและมีชาวพุทธยะไข่อยู่ 435 คน โดยทั้งฝ่ายไม่เคยมีความขัดแย้งหรือความรุนแรงระหว่างศาสนามาก่อน แต่หัวหน้าหมู่บ้านกลับบอกว่าทางการต้องการคลายความกังวลและหวาดกลัวให้กับชาวโรฮิงญา
เนื่องจากมีความตรึงเครียดกันระหว่าง 2 ศาสนาที่อื่นๆ ภายในรัฐยะไข่ และอีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือกองทัพเมียนมาร์ส่งกำลังทหารเสริมเข้ามายังพื้นที่มากขึ้น
“ในสนธิสัญญาระบุว่าทั้งชาวโรฮิงญาและชาวพุทธจะไม่มีการใช้ความรุนแรงและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนามร่วมกัน
ทั้งชาวพุทธยะไข่และพวกเรา แต่ทหารกลับเริ่มสังหารเราตอน 8 โมงเช้า” นายนุรฺ กอบิรฺ มีตำแหน่งเป็นเลขาธิการประจำหมู่บ้านตูลาโตลี้
ซึ่งตอนนี้ลี้ภัยไปอยู่บังกลาเทศ กล่าว
ผู้รอดชีวิตหลายคนต่างเล่าเหมือนกันว่า
พวกเขามั่นใจต่อสนธิสัญญาเสรีภาพซึ่งลงนามร่วมกันในหมู่บ้านก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน
ความเชื่อใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐได้หายไปในทันทีเมื่อทหารได้โจมตีในตอนเช้าของวันที่
30 สิงหาคม ผู้ที่หนีรอดไปได้บอกกับนายเราะฮฺมานว่า มีผู้เสียชีวิตจากการถูกทหารเมียนมาร์และพรรคพวกสังหารโหดประมาณ
1,500 – 1,700 รายภายในวันนั้นวันเดียว
นายเราะฮฺมานมั่นใจว่า
เหตุการณ์ที่หัวหน้าหมู่บ้านจัดให้มีการลงนามสนธิสัญญาเสรีภาพ
และการที่กองทัพเมียนมาร์ส่งกำลังทหารเสริมในพื้นที่ก่อนวันที่ 25 สิงหาคมที่มีการปะทะกับกองกำลังติดอาวุธชาวโรฮิงญา
และการสังหารหมู่ที่ตูลาโตลี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลเมียนมาร์วางแผนมาแล้วอย่างแยบยล ซึ่งมันขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ที่รัฐบาลเมียนมาร์ได้ประกาศผ่านสื่อภายในประเทศ
และมีการลงข่าวในโซเชียลมีเดียเช่นเฟสบุ๊กส์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า กองทัพได้ทำการตอบโต้กองกำลังติดอาวุธชาวโรฮิงญาเท่านั้น
ด้านนายซอว์
เท โฆษกรัฐบาลเมียนมาร์ได้ให้ข่าวว่า ทั้งชาวพุทธยะไข่และทหารพม่าถูกกองกำลังติดอาวุธโรฮิงญาโจมตีในตูลาโตลี้ “เราสามารถตรวจสอบได้ว่าในวันที่ 30 สิงหาคม
2017 ที่หมู่บ้านมินยี (ตูลาโตลี้)
ได้มีการโจมตีชาวพุทธยะไข่และทหารเมียนมาร์ถึง 8
ครั้งโดยพวกก่อการร้ายที่มีจำนวนนับร้อยคน”
ล่าสุดกองทัพเมียนมาร์เปิดเผยรายงานการสอบสวนภายในเมื่อวันที่
14 พฤศจิกายน 2017 โดยสรุปรายงานว่า ทางกองทัพไม่มีความผิดอย่างที่ถูกกล่าวหาเอาไว้
โดยปฏิเสธว่าทหารไม่มีการสังหารชาวโรฮิงญา ไม่มีการเผาหมู่บ้าน ไม่มีการข่มขื่นสตรีและเด็ก
และไม่มีการปล้นสะดมทรัพย์สิน ซึ่งองค์กรนิรโทษกรรมสากลระบุถึงรายงานของกองทัพเมียนมาร์ฉบับนี้ว่า
เป็นความพยายามที่จะ “ปิดบังความผิด”
และมีการเรียกร้องให้ทีมสอบสวนหาข้อเท็จจริงของยูเอ็นได้ลงพื้นที่โดยเสรีภาพ[1]
อนาคตที่ดูเหมือนไร้ความหวัง
นางมุมตัซส์ค่อยๆ
ฟื้นตัวจากแผลที่ไหม้และอาการบาดเจ็บต่างๆ ในบังคลาเทศ แต่ต้องประสบกับอนาคตที่ดูเหมือนไร้ความหวัง สภาพความเป็นอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยแออัด หน่วยงานด้านความช่วยเหลือต่างๆ
กำลังพยายามจัดหาอาหาร
ที่อยู่อาศัย และการรักษาพยาบาลให้เพียงพอต่อจำนวนผู้ลี้ภัยที่ยังไหลทะลักเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
มุมตัสซ์และราซิยะฮฺเหลือกันสองคนแม่ลูก
นางบอกว่าสามีของนางถูกยิงเสียชีวิตริมแม่น้ำ หนึ่งในลูกชายสามคมถูกโยนลงไปในกองไฟ
และลูกชายอีกสองคนถูกฆ่าในกระท่อมที่มุมตัสซ์และราซิยะฮฺหนีออกมาได้
“น้องชายของฉันและคนอื่นๆ ถูกเผา พวกเขาถูกฆ่าโดยการถูกตีจนเสียชีวิต แล้วพวกทหารได้ยิงพ่อของฉันตาย”
ศีรษะของด.ญ.ราซิยะฮฺมีแผลเป็นจากการถูกตี
แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือบาดแผลทางจิตใจที่เรื่องราวต่างๆ ยังคงอยู่ในความทรงจำของเด็ก
เพราะเพิ่งประสบกับเรื่องเลวร้ายมาไม่นานมานี้
“เธอเห็น
เด็กน้อยคนนี้เห็นทุกๆ อย่าง เด็กพยายามอุ้มพี่ชายที่กำลังถูกไฟเผา
แต่เธอไม่สามารถช่วยชีวิตพี่ไว้ได้”
นางมุมตัสซ์กล่าว[2]
**********************************************************