Saturday, December 23, 2017

ตีแผ่เหตุการณ์สังหารหมู่ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านตูลาโตลี้

ตีแผ่เหตุการณ์สังหารหมู่ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านตูลาโตลี้ - เรื่องราวของชาวโรฮิงญาที่ถูกรุมข่มขืน เด็กๆ ถูกจับเผาทั้งเป็น และการสังหารชาวโรฮิงญา


“พวกเขา (ทหาร) ฆ่า แล้วก็ฆ่า และจับศพวางทับซ้อน ๆ กันลงไปจนสูง เหมือนกับการตัดไม้ไผ่”  
นางมุมตัสซ์ หญิงชาวโรฮิงญาจากหมู่บ้านตูลาโตลี้ในทางตะวันตกของพม่า เล่าเรื่องโศกนาฏกรรมที่นางประสบกับตัวเอง

นางมุมตัสซ์และลูกที่ช่วยเธอรอดชีวิตจากการถูกเผาทั้งเป็น

“ในกองนั้นมีทั้งคอ ศีรษะ ขาของใครบางคน ฉันออกมาจากกองนั้นได้ แต่ก็ไม่รู้เลยว่าออกมาได้ยังไง”  เหตุสยองขวัญที่มุมตัสซ์ต้องเผชิญไม่ได้จบแค่ตรงนั้น  หลังจากที่หลบหนีออกมาจากกองศพของชาวโรฮิงญาที่ถูกทหารสังหารหมู่  นางมุมตัสซ์เล่าต่อว่า นางได้เจอกับทหารพม่า พวกเขาจึงลากนางไปที่บ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านและรุมข่มขื่นนาง  จากนั้นนางถูกขังในบ้านไม้หลังนั้นและพวกเขาได้จุดไฟเผา  แต่ปรากฏว่าลูกสาววัย 7 ขวบชื่อราซิยะฮฺได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้


 “หนูเรียกแม่ และแม่ถามหนูว่า เธอเป็นใคร?’” เด็กเล่าให้ฟัง “แม่หนูหัวแตก แม่หนูถูกโยนไว้มุมหนึ่งของกระท่อม  พวกทหารทุบตีหนู แล้วได้โยนหนูเข้าไปในกระท่อมหลังเดียวกัน  หนูบอกกับแม่ว่าไฟไหม้นิ้วแม่ จากนั้นทั้งแม่และหนูหนีออกมาได้และพากันวิ่งหนี”   ทั้งแม่และลูกสาวได้บีบตัวผ่านบางส่วนของรั้วที่ถูกทำลาย และพากันไปหลบตามท้องร่องสวนก่อนที่ชาวบ้านมาพบ และพากันช่วยแม่ลูกคู่นี้ลี้ภัยข้ามไปยังบังกลาเทศ โดยตอนนี้มีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยแล้ว 615,000 คน นับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา อ้างตัวเลขจากองค์กรช่วยเหลือผู้ลี้ภัย


ด.ญ.ราซิยะฮฺวัย 7 ขวบถูกทหารพม่าทำร้ายขณะที่ทั้งหมู่บ้านถูกทหารบุกเข้าโจมตี โดยทั้งครอบครัวของเด็กเสียชีวิตทั้งหมด แต่เด็กได้ช่วยแม่ให้รอดชีวิตจากการถูกเผาทั้งเป็น


ผู้ลี้ภัยหนีการปะทะกันอย่างรุนแรงในรัฐทางตอนเหนือของรัฐยะไข่  โดยกองทัพของพม่าได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเรียกว่า "การกวาดล้าง" ที่อ้างว่าพุ่งเป้าหมายการโจมตีไปที่ "ผู้ก่อการร้าย" หลังจากกองกำลังติดอาวุธชาวโรฮิงญาได้โจมตีป้อมตำรวจหลายแห่ง สังหารเจ้าหน้าที่ไป 12 นาย
ส่วนทางยูเอ็นอธิบายถึงเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ว่า  “คือตัวอย่างตำราของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์”  และเหตุสังหารพลเรือนในหมู่บ้านของมุมตัสซ์ในวันที่ 30 สิงหาคมถือว่าเป็นหนึ่งในการกระทำที่เหี้ยมโหดที่สุดโดยกองทัพพม่าในช่วงสองเดือนครึ่งที่ผ่านมา  


สารคดีเหตุการณ์สังหารหมู่
นายชาฟิอุรฺ เราะฮฺมาน ผู้ผลิตสารคดีชีวิตชาวโรฮิงญาเชื้อชาติบังกลาเทศ-สัญชาติอังกฤษ ได้ยินเรื่องเหตุการณ์ที่ตูลาโตลี้ครั้งแรกหลังจากที่เขาได้ไปเฝ้าถ่ายทำชาวโรฮิงญากลุ่มหนึ่งที่ข้ามพรมแดนระหว่างเมียนมาร์และบังกลาเทศในวันที่ 2 กันยายน ซึ่งเป็นเวลาสามวันหลังจากการสังหารหมู่


“มันได้กลายเป็นความชัดเจนในเวลาที่รวดเร็วจากการได้ยินเรื่องเล่าที่สยองขวัญของชาวโรฮิงญาที่ลี้ภัยมาจากตูลาโตลี้ที่เกิดขึ้น 3 วันที่ผ่านมา และสิ่งที่ทำให้ผมไม่คาดคิดมาก่อนก็คือการได้ยินเรื่องเล่าต่างๆ จากผู้รอดชีวิตที่สอดคล้องกันไปหมด”  นายเราะฮฺมานได้กล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น
นายเราะฮฺมานได้พบกับมุมตัสซ์และราซิยะฮฺในบังคลาเทศในช่วงสิ้นเดือนกันยายน สภาพนางมุมตัสซ์เหมือนกับมัมมี่ที่มีผ้าพันแผลเต็มหน้า และนางต้องนอนอยู่ที่คลีนิคเป็นเวลา 15 วัน ไม่สามารถพูดอะไรได้ หรือแม้กระทั่งไม่สามารถจิบน้ำจากแก้วได้เลย  พอประมาณกลางเดือนตุลาคม แผลที่ไหม้ที่หน้าและลำตัวเริ่มค่อยๆ ฟื้นตัว  และนางมุมตัสซ์เริ่มให้สัมภาษณ์เรื่องราวของนางกับนายเราะฮฺมาน


เรื่องราวของการถูกรุมข่มขื่น  การสังหาร และการลอบวางเพลิง ถูกเล่าโดยชาวโรฮิงญาผู้ลี้ภัยหลายแสนคนที่หลบหนีมาจากเมียนมาร์  แต่นายเราะฮฺมานเลือกสัมภาษณ์ชาวโรฮิงญา 30 คนที่เคยอาศัยในตูลาโตลี้ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา  


องค์กรแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลอธิบายไว้ในรายงานฉบับประจำเดือนตุลาคม ปี 2017  "ดูเหมือนว่าเป็นหนึ่งในการกระทำที่เลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งของแคมเปญการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของกองทัพเมียนมาร์"  องค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เชื่อมั่นตามหลักฐานของเรื่องเล่าต่างๆ จากปากของพยานที่ได้ยืนยันว่า ทหารเมียนมาร์ได้สังหารหมู่ที่มีเหยื่อเป็นหญิง ชาย และเด็กๆ จากมินยีในวันที่ 30 สิงหาคม”  สรุปรายงานขององค์กรแอมเนสตี้  มินยีเป็นอีกชื่อหนึ่งของหมู่บ้านตูลาโตลี้


พวกเขาอาจจะเผาบ้าน แต่จะไม่ฆ่าใคร
นายเราะฮฺมานบันทึกวีดีโอสัมภาษณ์ชาวโรฮิงญาผู้รอดชีวิตจากตูลาโตลี้ 30 คนโดยพวกเขาเล่าว่า เจ้าหน้าที่เมียนมาร์ระดับท้องถิ่นบอกกับชาวบ้านที่เป็นชาวโรฮิงญาว่าพวกเขาจะปลอดภัยถ้ายังคงอยู่ในหมู่บ้าน  นายมูฮัมหมัด นาซิรฺ เล่าให้ฟังว่าเขาถูกบอกว่า “พวกเขา (ทหารเมียนมาร์) อาจจะเผาบ้าน แต่พวกเขาจะไม่ฆ่าใคร” 


ชาวบ้านในตูลาโตลี้เล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่า เฮลิคอปเตอร์ลงจอดใกล้หมู่บ้านตอน 8 โมงเช้าของวันที่ 30 สิงหาคม  ทหารพม่าร่วมกับชาวพุทธยะไข่อีก 50 คนและคนที่เป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่ใช่โรฮิงญาที่มาจากนอกหมู่บ้าน  ได้จู่โจมเข้ามายังหมู่บ้าน  “พวกเขาบอกให้เราไปรวมตัวกันที่ริมแม่น้ำ  เมื่อพวกเขาเห็นชาวโรฮิงญาอยู่รวมกัน พวกเขาตรงดิ่งไปที่ชาวโรฮิงญาเหล่านั้น และยิงใส่พวกเขาอย่างต่อเนื่อง แล้วยังมีการจุดไฟเผาบ้านเรือนในเวลาเดียวกัน”  นาซิรฺกล่าว


ชาวโรฮิงญาอีกคนคือนางเรฮาน่า เบกุม เล่าเหมือนกันว่านางก็ถูกบอกให้ออกจากบ้านและไปยืนรออยู่ใกล้ริมแม่น้ำ  “พวกเขาให้เราไปอยู่ที่นั่นโดยบอกว่า พวกเขาจะไม่ทำร้ายพวกเรา  เวลาตอน 8 โมงเช้า  เฮลิคอปเตอร์ลงจอดและหมู่บ้านเราก็ได้ถูกปิดล้อม ใครที่ยังหนีทันก็รีบหนีไป  ทหารพม่าล้อมเราไว้อย่างกระทันหันและเราไม่สามารถหลบหนีไปได้  เพราะเรายืนรวมกันและมันติดกับแม่น้ำ  ตอนนั้นแม่น้ำมีคลื่นสูง  ไม่มีเรือเลยสักลำ   พี่ชายหลายคนของฉันสามารถอุ้มลูกๆ ฉันไปได้  และฉันก็ว่ายน้ำเป็นจึงหนีรอดไปได้   หลายต่อหลายคนถูกยิง  แล้วพวกเขาก็ล้มตัวลง  คนที่ล้มลงเหล่านั้นได้ถูกจับขึ้นมา ถูกสับเป็นชิ้นๆ แล้วโยนทิ้งลงในแม่น้ำ”  นางเรฮาน่าเล่าให้นายเราะฮฺมานฟังถึงเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว


นางฮาซานะฮฺ หญิงชาวโรฮิงญาอีกคนหนึ่งที่ลี้ภัยมาจากตูลาโตลี้  เล่าให้ฟังว่า ทหารและพรรคพวกของเขาได้โยนลูกสาว ด.ญ.ซูไฮฟะฮฺ วัยหนึ่งขวบ เข้าไปในกองไฟขณะที่เด็กยังมีชีวิตอยู่   “พวกเขาแย่งลูกไปจากอ้อมแขนฉัน” แล้วนางก็ปล่อยโฮออกมา  “พวกเขาโยนลูกน้อยของฉันลงไปในกองไฟที่มีเสื้อผ้าเป็นเชื้อเพลิง พวกทหารจุดไฟด้วยการใช้ข้าวของของประชาชน แล้วพวกเขาโยนลูกของฉันลงไปในกองไฟขนาดใหญ่”


ส่วนสามีของนางฮาซานะฮฺได้ออกไปทำงานนอกหมู่บ้านในตอนที่ทหารพม่าบุกสังหารประชาชนชาวโรฮิงญา และได้มาพบกับภรรยาของเขาอีกครั้งที่บังกลาเทศ โดยที่มาทราบทีหลังว่า ลูกสาวคนเดียวของเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว


หัวหน้าหมู่บ้านเรียกชาวโรฮิงญากับชาวพุทธลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีความขัดแย้งใดๆ ระหว่างศาสนามาก่อน  


ก่อนหน้าที่ทหารเมียนมาร์และพรรคพวกได้บุกโจมตีหมู่บ้าน ในวันที่ 18 สิงหาคม หัวหน้าหมู่บ้านได้มีการเรียกชาวโรฮิงญา และชาวพุทธยะไข่จากตูลาโตลี้เข้าประชุมเพื่อลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ


ขณะที่หมู่บ้านซึ่งมีชาวโรฮิงญา 4,360 คนและมีชาวพุทธยะไข่อยู่ 435 คน โดยทั้งฝ่ายไม่เคยมีความขัดแย้งหรือความรุนแรงระหว่างศาสนามาก่อน  แต่หัวหน้าหมู่บ้านกลับบอกว่าทางการต้องการคลายความกังวลและหวาดกลัวให้กับชาวโรฮิงญา เนื่องจากมีความตรึงเครียดกันระหว่าง 2 ศาสนาที่อื่นๆ ภายในรัฐยะไข่  และอีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือกองทัพเมียนมาร์ส่งกำลังทหารเสริมเข้ามายังพื้นที่มากขึ้น


“ในสนธิสัญญาระบุว่าทั้งชาวโรฮิงญาและชาวพุทธจะไม่มีการใช้ความรุนแรงและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข  ทั้งสองฝ่ายได้มีการลงนามร่วมกัน ทั้งชาวพุทธยะไข่และพวกเรา แต่ทหารกลับเริ่มสังหารเราตอน 8 โมงเช้า”  นายนุรฺ กอบิรฺ  มีตำแหน่งเป็นเลขาธิการประจำหมู่บ้านตูลาโตลี้ ซึ่งตอนนี้ลี้ภัยไปอยู่บังกลาเทศ  กล่าว


ผู้รอดชีวิตหลายคนต่างเล่าเหมือนกันว่า พวกเขามั่นใจต่อสนธิสัญญาเสรีภาพซึ่งลงนามร่วมกันในหมู่บ้านก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน  ความเชื่อใจต่อเจ้าหน้าที่รัฐได้หายไปในทันทีเมื่อทหารได้โจมตีในตอนเช้าของวันที่ 30 สิงหาคม ผู้ที่หนีรอดไปได้บอกกับนายเราะฮฺมานว่า มีผู้เสียชีวิตจากการถูกทหารเมียนมาร์และพรรคพวกสังหารโหดประมาณ 1,500 – 1,700 รายภายในวันนั้นวันเดียว


นายเราะฮฺมานมั่นใจว่า  เหตุการณ์ที่หัวหน้าหมู่บ้านจัดให้มีการลงนามสนธิสัญญาเสรีภาพ และการที่กองทัพเมียนมาร์ส่งกำลังทหารเสริมในพื้นที่ก่อนวันที่ 25 สิงหาคมที่มีการปะทะกับกองกำลังติดอาวุธชาวโรฮิงญา และการสังหารหมู่ที่ตูลาโตลี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลเมียนมาร์วางแผนมาแล้วอย่างแยบยล  ซึ่งมันขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ที่รัฐบาลเมียนมาร์ได้ประกาศผ่านสื่อภายในประเทศ และมีการลงข่าวในโซเชียลมีเดียเช่นเฟสบุ๊กส์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า กองทัพได้ทำการตอบโต้กองกำลังติดอาวุธชาวโรฮิงญาเท่านั้น


ด้านนายซอว์ เท โฆษกรัฐบาลเมียนมาร์ได้ให้ข่าวว่า ทั้งชาวพุทธยะไข่และทหารพม่าถูกกองกำลังติดอาวุธโรฮิงญาโจมตีในตูลาโตลี้  “เราสามารถตรวจสอบได้ว่าในวันที่ 30 สิงหาคม 2017 ที่หมู่บ้านมินยี (ตูลาโตลี้)  ได้มีการโจมตีชาวพุทธยะไข่และทหารเมียนมาร์ถึง 8 ครั้งโดยพวกก่อการร้ายที่มีจำนวนนับร้อยคน” 


ล่าสุดกองทัพเมียนมาร์เปิดเผยรายงานการสอบสวนภายในเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2017 โดยสรุปรายงานว่า ทางกองทัพไม่มีความผิดอย่างที่ถูกกล่าวหาเอาไว้ โดยปฏิเสธว่าทหารไม่มีการสังหารชาวโรฮิงญา  ไม่มีการเผาหมู่บ้าน ไม่มีการข่มขื่นสตรีและเด็ก และไม่มีการปล้นสะดมทรัพย์สิน   ซึ่งองค์กรนิรโทษกรรมสากลระบุถึงรายงานของกองทัพเมียนมาร์ฉบับนี้ว่า เป็นความพยายามที่จะ “ปิดบังความผิด” และมีการเรียกร้องให้ทีมสอบสวนหาข้อเท็จจริงของยูเอ็นได้ลงพื้นที่โดยเสรีภาพ[1]

อนาคตที่ดูเหมือนไร้ความหวัง


นางมุมตัซส์ค่อยๆ ฟื้นตัวจากแผลที่ไหม้และอาการบาดเจ็บต่างๆ ในบังคลาเทศ แต่ต้องประสบกับอนาคตที่ดูเหมือนไร้ความหวัง  สภาพความเป็นอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยแออัด หน่วยงานด้านความช่วยเหลือต่างๆ กำลังพยายามจัดหาอาหาร ที่อยู่อาศัย และการรักษาพยาบาลให้เพียงพอต่อจำนวนผู้ลี้ภัยที่ยังไหลทะลักเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย   


มุมตัสซ์และราซิยะฮฺเหลือกันสองคนแม่ลูก นางบอกว่าสามีของนางถูกยิงเสียชีวิตริมแม่น้ำ หนึ่งในลูกชายสามคมถูกโยนลงไปในกองไฟ และลูกชายอีกสองคนถูกฆ่าในกระท่อมที่มุมตัสซ์และราซิยะฮฺหนีออกมาได้ “น้องชายของฉันและคนอื่นๆ ถูกเผา พวกเขาถูกฆ่าโดยการถูกตีจนเสียชีวิต  แล้วพวกทหารได้ยิงพ่อของฉันตาย”


ศีรษะของด.ญ.ราซิยะฮฺมีแผลเป็นจากการถูกตี แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือบาดแผลทางจิตใจที่เรื่องราวต่างๆ ยังคงอยู่ในความทรงจำของเด็ก เพราะเพิ่งประสบกับเรื่องเลวร้ายมาไม่นานมานี้ 
“เธอเห็น เด็กน้อยคนนี้เห็นทุกๆ อย่าง เด็กพยายามอุ้มพี่ชายที่กำลังถูกไฟเผา แต่เธอไม่สามารถช่วยชีวิตพี่ไว้ได้”  นางมุมตัสซ์กล่าว[2]
**********************************************************

Saturday, November 25, 2017

คนร้ายสังหารมุสลิมที่ไปละหมาดวันศุกร์ในไซไนเหนือ เสียชีวิตอย่างน้อย 235 ราย



สื่อของอียิปต์รายงานข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 24 พ.ย. ว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 235 รายถูกสังหารจากการที่มีคนร้ายวางระเบิด และกราดยิงผู้คนที่เพิ่งเสร็จภาระกิจละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดในบิร อัล-อาบิ๊ด Bir al-Abed ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในไซไนเหนือ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 235 รายและบาดเจ็บ 120 คน
ประธานาธิบดีอียิปต์ อับดุลฟัตตาฮฺ อัซซีซี ได้ประกาศไว้อาลัยทั่วประเทศเป็นเวลา 3 วัน
สื่อท้องถิ่นได้รายงานว่า คนร้ายฝังระเบิดไว้ และเปิดฉากยิงผู้ไปละหมาดวันศุกร์ จากนั้นได้สาดกระสุนใส่มุสลิมที่พยายามวิ่งหนีออกจากมัสยิด

เป็นที่น่าสังเกตุว่า สื่อกระแสหลักตะวันตกรวมทั้งสำนักข่าวอัลญะซีเราะฮฺรายงานว่ามัสยิดนี้เป็นมัสยิดซูฟีย์ ซึ่งจริงๆ แล้วมีทั้งมุสลิมที่ไม่ได้ปฎิบัติตามซูฟีย์ไปละหมาดเป็นประจำที่มัสยิดนี้เช่นกัน อ้างจากผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาสังคมวิทยา ดร.อัมโร อาลี ของมหาวิทยาลัย American University ที่ไคโร
ณ ตอนนี้ยังไม่มีกลุ่มติดอาวุธใดๆ ออกมาแสดงความรับผิดชอบ แต่ทางสื่อกระแสหลักโยงไปที่กลุ่มไอสิสที่เคยสังหารผู้นำศาสนาชาวซูฟีย์อายุ 100 ปีในข้อหาใช้มนต์ดำไสยศาสตร์
ศาสตรจารย์ทิโมธี คัลดาส ของมหาวิทยาลัย Nile University ที่ไคโร บอกสำนักข่าวอัลญะซีเราะฮฺถึงการโจมตีครั้งนี้ว่า “มันสอดคล้องกับรูปแบบสไตล์การโจมตีของกลุ่มไอสิส”
"อาจเป็นอีกหนึ่งการโจมตีชาวซูฟีย์ ทางตอนเหนือของไซไน ซึ่งอาจเป็นการแก้แค้นเผ่าต่างๆ ที่ร่วมมือกับรัฐบาลอียิปต์ในการปราบปรามกลุ่มไอสิส” คัลดาส กล่าว

ที่มา - http://www.aljazeera.com/…/blast-stri... ➡ 🎬 คลิปวีดีโอที่เกี่ยวข้องกับข่าวนี้ คลิปหลุด! แฉทหารอียิปต์วิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องขัง และวางปืนไว้ข้างๆ ศพ เพื่อเป็นการจัดฉากว่าทางกองทัพอียิปต์ได้ต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย https://www.youtube.com/watch?v=Nh09t...

Monday, November 20, 2017

เหตุปะทะระหว่างชาวพุทธกับมุสลิมในศรีลังกา เกิดจากการโพสต์ข่าวปลอมของชาวพุทธในโลกโซเชียลมีเดีย



เหตุเริ่มจากจากการทะเลาะกันระหว่างหญิงมุสลิมคนหนึ่งกับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซด์ที่เป็นชาวพุทธเมื่อวันพฤหัสที่ 16 พ.ย. ในเมืองกินโตตา จังหวัดกอลล์ จนทำให้มีเหตุการณ์บานปลายลามไปถึงมีการปะทะกันระหว่างชนสิงหลที่นับถือศาสนาพุทธกับชาวมุสลิมซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในศรีลังกา ในวันศุกร์ที่ 17 ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 5 คนถูกนำตัวส่งไปที่โรงพยาบาล และมีทั้งบ้านเรือน ร้านค้าเกือบ 90 หลัง รถยนต์อีกหลายคัน รวมทั้งมัสยิดอย่างน้อย 1 หลังได้รับความเสียหาย


ทั้งทหารบกและทหารเรือถูกเรียกตัวไปเสริมกำลังกับตำรวจประจำท้องถิ่น รัฐบาลได้สั่งประกาศเคอร์ฟิวห้ามผู้คนออกจากบ้านตลอดคืนวันเสาร์ เพื่อเป็นการควบคุมสถานการณ์ และยกเลิกคำสั่งตอนเช้าของวันอาทิตย์


ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหาไว้ทั้งหมด 19 คน และกล่าวว่าเหตุปะทะเกิดจากการแชร์ข่าวปลอมบนโลกโซเชียลมีเดีย และหนึ่งในผู้ต้องหาคือหญิงชาวพุทธที่โพสต์ข่าวปลอมว่า มีชาวมุสลิมหลายคนกำลังรวมตัวกันเพื่อไปเผาทำลายวัดของชาวพุทธ  “เราตัดสินใจจับกุมพวกที่ไปโพสต์ข่าวปลอมในโลกโซเชียลมีเดีย” ตำรวจกล่าว


นายซากาลา รัตนายก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงรักษากฏหมายและความสงบเรียบร้อย ชี้ว่าเหตุการณ์จราจลที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นับว่าเป็นความพยายามที่ล้มเหลวของนักเคลื่อนไหวที่ต่อต้านรัฐบาลและต้องการสร้างความรุนแรงทางศาสนาที่มุ่งเน้นให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย


รัฐมนตรีมหาดไทย วาจิระ อาเบย์วาร์เดนา แถลงกับผู้สื่อข่าวว่า กำลังทหารและตำรวจจะยังคงเฝ้ารักษาการณ์ในเมืองนี้ต่อไป จนกว่าความสงบเรียบร้อยจะกลับคืนมา และทางรัฐจะมีการชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ ให้


เคยเกิดเหตุรุนแรงระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมในเดือนมิถุนายน 2014 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 รายและบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งเกิดจากการยั่วยุให้ปะทะกันโดยพวกกลุ่มชาวพุทธสุดโต่งกลุ่มหนึ่ง โดยกำลังถูกพิจารณาคดีอยู่ในศาลด้วยข้อหายุยงให้เกิดความขัดแย้งทางศาสนา


มีมุสลิมในศรีลังกา 10 เปอร์เซ็นต์ จากประชากรทั้งหมด 21 ล้านคน มุสลิมถือเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีขนาดใหญ่รองจากชาวทมิฬ และมีประชากรชาวสิงหลที่เป็นชาวพุทธ75%


ที่มาของข้อมูล -


 🎬 ข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
พระสงฆ์และชาวพุทธสายสุดโต่งศรีลังกา บุกเซฟเฮาส์ยูเอ็นเพื่อขับไล่ชาวโรฮิงญาที่ลี้ภัยอยู่ชั่วคราว
https://www.facebook.com/muslim.aof/posts/1737728286521552

Sunday, November 12, 2017

บิดาของผู้เสียชีวิตกล่าวในศาลให้อภัยคนที่แทงลูกชายเขาเสียชีวิต




ดร. สมบัติ จิตต์หมวด บิดาของผู้ตายกล่าวต่อหน้าศาลในห้องพิจารณาคดีว่า เขาขอยกโทษให้กับนายทรอย ซึ่งเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีฆาตกรรมในปี 2015 ซึ่งคนร้ายแทงลูกของเขาคือ นายซาลาฮุดดิน เสียชีวิตและมีการลักทรัพย์ ขณะทำงานส่งพิซซ่าที่รัฐเทกซัส สหรัฐฯ

ที่มา - illfeed

Saturday, October 21, 2017

พระกลุ่มวีระธุคุยโวว่าได้เผาทำลายบ้านมุสลิมและมัสยิด แล้วสร้างพระเจดีย์บนพื้นที่ของมัสยิดที่ถูกเผาไป



พระเซกาบิน ซายาดอว์ ได้เทศนาด้วยการคุยโวว่า พระและพุทธหัวรุนแรงทั้งหมู่บ้านได้ใช้กำลังด้วยการถือมีดยาวและไม้ ขับไล่มุสลิมให้ออกไปจากหมู่บ้าน (แต่ไม่ได้มีการระบุชื่อหมู่บ้าน) และพวกเขาได้ทำลายบ้านมุสลิมทั้งหมดไป 24 หลัง พร้อมทั้งมีการเผาทำลายมัสยิด แล้วสร้างพระเจดีย์ตรงบริเวณพื้นที่ของมัสยิดที่ถูกทำลายไป


พระเซกาบิน เป็นรองประธานกลุ่มมูลนิธิการกุศลพุทธธรรม โดยชื่อเก่าคือมะบะธา ซึ่งเป็นองค์กรที่นำโดยพระวีระธุ พระชาตินิยมหัวรุนแรง ผู้มีบทบาทในการสร้างกระแสสุดโต่งและชาตินิยมขวาจัดในพม่า ปลุกปั่นให้ชาวพุทธมีความเกลียดชังต่อมุสลิมโรฮิงญาและมุสลิมทั้งหมดในพม่า


ในปี 2001 พระวีรธุตั้งขบวนการ 969 รณรงค์บอยคอตร้านค้าและธุรกิจของชาวมุสลิม รวมถึงทำลายมัสยิดเก่าแก่ ทำให้กระแสเกลียดชังมุสลิมรุนแรงขึ้น หลังมีการกล่าวหาว่าชาวมุสลิมก่ออาชญากรรมข่มขืนชาวพุทธ จนเกิดจลาจลในเมืองซิตตเวของรัฐยะไข่ และเมืองตองอูของเขตพะโค หรือหงสาวดี มีชาวมุสลิมเสียชีวิตไปมากกว่า 200 ราย


ในปี 2003 พระวีรธุถูกตัดสินจำคุก 25 ปีด้วยข้อหารวมกลุ่มองค์กรหรือสหภาพโดยผิดกฎหมาย และข้อหาต่อต้านมุสลิม เพราะการรวมกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง จะทำให้ความขัดแย้งกับกลุ่มชาติพันธุ์นับร้อยในประเทศยุ่งเหยิงขึ้นไปอีก แต่ในปี 2010 พระวีรธุได้รับการอภัยโทษออกมา และปลุกขบวนการ 969 อีกครั้ง หลังเกิดกรณีชาวโรฮิงญาข่มขืนหญิงพม่า มีการคว่ำบาตรธุรกิจชาวมุสลิม ผลักดันกฏหมายห้ามชาวพุทธและมุสลิมแต่งงานกัน ความเกลียดชังนำไปสู่เหตุรุนแรงอีกครั้งในปี 2012 และ 2013 มีการเผาบ้าน ร้านค้า และมัสยิดในรัฐยะไข่ มีคนเสียชีวิตไปมากกว่า 300 ราย


แม้กระทั่งรัฐบาลพม่าสั่งห้ามพระวีระธุเดินทางเทศนาและปราศรัยเป็นเวลา 1 ปี แต่พระวีระธุและกลุ่มก็ยังมีการจัดกิจกรรม เดินทางเทศนาปลุกปั่นความเกลียดชังต่อมุสลิมในพม่าอย่างต่อเนื่อง


ที่มาของคลิปวีดีโอ –
มุสลิมเมียนมาร์ มีเดีย
ที่มาของข้อมูล-
พระวีรธุ ผู้สร้างความเกลียดชังต่อชาวโรฮิงญา
https://news.voicetv.co.th/world/208503.html

🎬 คลิปวีดีโอที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
 พระวีระธุและพวกพ้องนำประเด็นเท็จเรื่องข่มขื่น มาใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่นให้เกิดการใช้ความรุนแรงระหว่างเชื้อชาติได้อย่างไร?
https://www.facebook.com/muslim.aof/videos/1508068369487546/
พระสงฆ์สุดโต่งในพม่าพากันขับไล่มุสลิมขายของในตลาดหน้ามหาเจดีย์ชเวดากอง
https://www.facebook.com/muslim.aof/videos/1740813872879660/

Sunday, October 15, 2017

💔 เรื่องเล่าของชาวโรฮิงญาที่รอดชีวิตมาได้: ทหารพม่าจับลูกน้อยของฉันโยนเข้ากองไฟ แล้วพวกเขาก็ลากฉันไปข่มขื่นต่อ



เกินคำบรรยาย!!! นางเรยูม่า เบกุม หญิงชาวโรฮิงญาผู้รอดชีวิตและหนีออกมาจากพม่าได้พร้อมสามีของนาง ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวอัลญะซีเราะฮฺ ภาคภาษาอังกฤษ ที่ค่ายผู้ลี้ภัยกูตาปาลอง บังกลาเทศ ที่ถูกนำออกเผยแผ่เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2017 โดยนางเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังทั้งน้ำตาว่า ลูกน้อยวัยขวบครึ่งของนางถูกทหารพม่าจับโยนเข้ากองไฟต่อหน้าต่อตา แล้วพวกทหารก็ลากนางไปข่มขื่นต่อ ทหารยังฆ่าทั้งพ่อ แม่ พี่สาวทั้งสองและน้องชายอีกหนึ่งคน

และนี่เป็นเพียงหนึ่งในอีกหลายๆ เรื่องเล่าที่ชาวโรฮิงญาต้องประสบกับเหตุโศกนาฏกรรมด้วยตัวของพวกเขาเอง 


ที่มาของวีดีโอ – Al Jazeera ภาคภาษาอังกฤษ

Saturday, October 14, 2017

💔 สุดเศร้าเกินบรรยาย! กว่าจะข้ามมาถึงฝั่งบังกลาเทศได้อย่างปลอดภัยมันยากลำบากแค่ไหน?



@มุสลิมะฮออสเตรเลีย

14/10/17

สภาพชาวโรฮิงญาที่ข้ามมาถึงชายฝั่งบังกลาเทศได้อย่างปลอดภัย เมื่อวันที่ 30/09/17

กว่าจะข้ามฝั่งมาถึงบังกลาเทศได้ ชาวโรฮิงญาต้องเดินเท้ามาอย่างยากลำบากเป็นเวลาหลายวัน ช่วงนี้ฝนตกหนักทางเดินก็เป็นโคลนตมเดินลำบาก ชาวโรฮิงญาจำต้องเลี่ยงใช้เส้นทางเดินปกติ เพราะทหารพม่าเดินลาดตระเวนอยู่ ถ้าทหารพม่าเห็นชาวโรฮิงญาพวกนี้จะยิงใส่พวกเขาทันที ระหว่างทางพวกเขาต้องกินใบไม้ประทังชีวิต บ้างก็เสียชีวิตระหว่างทางเพราะป่วยหนัก บ้างก็เหยียบกับระเบิดจนขาขาดวิ่น กับระเบิดที่ทหารพม่าแอบฝังเอาไว้บริเวณชายแดนพม่ากับบังกลาเทศ หลายคนที่เหยียบกับระเบิดก็ไปเสียชีวิตที่บังกลาเทศ


ชาวโรฮิงญาต้องจ่ายเงินเพื่อใช้เรือข้ามฝั่งไปยังบังกลาเทศ ตอนนี้มีอีกหลายพันคนที่ยังติดอยู่บริเวณชายฝั่งพม่าข้ามไปไม่ได้ เพราะทางรัฐบาลบังกลาเทศสั่งห้ามเอาเรือไปรับ พวกเขากำลังอดตายอย่างช้าๆ เพราะไม่มีอาหารเหลือ


หลายคนที่หาเรือข้ามไปได้ก็ต้องจมน้ำตายเพราะเรือไม้ที่บรรจุคนเต็มลำล่มลงกลางทาง ชาวโรฮิงญาบางกลุ่มกำลังนั่งเรือข้ามฝั่งก็ถูกทหารพม่าไล่ยิงจนเรือล่มจมน้ำตายกันหมดลำ


เมื่อข้ามมาได้ปลอดภัยก็ไม่ใช่จะมีอาหารกิน บางครอบครัวกินแค่มื้อเดียวต่อวัน พวกเขาต้องนอนเต้นท์ผ้าใบมีแผ่นพาสติกรองพื้น ฝนตกหนักก็นอนกันไม่ได้อีก


เด็กนับพันคนหนีตายมากับน้องตัวเล็กๆ โดยพ่อแม่ตายทั้งคู่จากการถูกทหารพม่าฆ่าอย่างไร้ความปรานี เด็กหลายคนถูกทหารคว้าจากอุ้มมือของแม่ไป แล้วโยนใส่กองไฟต่อหน้าต่อตาผู้เป็นแม่ หลังจากโยนลูกพวกนางเข้ากองไฟยัง ไม่สะใจทหารพม่ายังลากแม่ไปรุมข่มขื่นอีก บ้างก็ข่มขื่นหญิงโรฮิงญาต่อหน้าสามีของพวกนาง


สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นกับเรา เราจะไม่มีวันเข้าใจ ว่ามันยากแค่ไหนกว่าจะรอดชีวิตหนีตายออกจากพม่ามาได้.........

เครดิตคลิปวีดีโอ - Fred Dufour ช่างภาพของสำนักข่าว AFP


ดูคลิปที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
🎬 เรื่องเล่าจากปากของผู้รอดชีวิตมุสลิมโรฮิงญา
https://www.facebook.com/muslim.aof/videos/1736519259975788/

Sunday, October 8, 2017

เจ้าหน้าที่ทหารพม่าร่วมกับชาวพุทธสุดโต่งปล้นสะดมวัวและแพะจากชาวโรฮิงญา



หลังจากที่ทหารพม่าและพวกกลุ่มชาวพุทธสุดโต่งเผาบ้านชาวโรฮิงญานับหลายร้อยหมู่บ้านที่รัฐยะไข่ จะมีฝูงวัวและแพะของชาวโรฮิงญาถูกปล่อยไว้ เพราะพวกเขาต้องหนีเอาตัวรอด จึงทำให้พวกเจ้าหน้าที่ทหารร่วมกับชาวพุทธสุดโต่งพากันต้อนฝูงวัวและแพะไป และบางหมู่บ้านที่มีชาวโรฮิงญาที่กำลังจะอดตายและหนีไปไหนไม่ได้ เพราะถูกพวกทหารพม่าปิดล้อม ก็ถูกพวกนี้ปล้นสะดมฝูงวัว แพะ จากชาวโรฮิงญา บ้างก็ไปขโมยต่อหน้าต่อตาเจ้าของที่เป็นชาวโรฮิงญา ซึ่งพวกเขาทำอะไรไม่ได้ ก็ได้แต่มองเพียงอย่างเดียว



ส่วนพวกที่ขโมยไปก็โอนย้ายไปยังเขตต่างๆ ที่เป็นหมู่บ้านของพวกชาวพุทธ แล้วเอาไปขายต่อให้กับพ่อค้าหรือชาวบ้าน ที่ราคา 200 ออสเตรเลียนดอลลาห์ต่อตัว (ประมาณ 5,200 บาท)


ฝูงวัวและแพะถูกถ่ายโอนไปยังเมืองซิตตเว ซึ่งเป็นเมืองที่ชาวโรฮิงญามากกว่า 120,000 คนถูกรัฐบาลพม่าจับไปขังไว้ยังค่ายลี้ภัย จากเหตุรุนแรงที่ประทุขึ้นเมื่อปี 2012 ที่บ้านเรือนชาวโรฮิงญาถูกเผาวอด ผู้นำชุมชนของชาวโรฮิงญาคนหนึ่งกล่าวกับผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวเอบีซีว่า “พวกโรฮิงญาไม่ต้องการซื้อวัวและแพะเหล่านี้ เพราะพวกเขารู้ดีว่าพวกทหารพม่าและพวกชาวพุทธยะไข่ปล้นสะดมมาจากชาวโรฮิงญาคนอื่นๆ”

ดูคลิปวีดีโอทั้งหมดได้ที่:
https://www.facebook.com/muslim.aof/posts/1741132296181151

Saturday, October 7, 2017

พระสงฆ์สุดโต่งในพม่าพากันขับไล่มุสลิมขายของในตลาดหน้ามหาเจดีย์ชเวดากอง



ย่างกุ้ง – พระสงฆ์สุดโต่งพากันขับไล่พ่อค้าที่เป็นมุสลิม ที่กำลังนั่งขายไข่นกกระทาในตลาดหน้ามหาเจดีย์ชเวดากอง โดยพระสงฆ์ผู้นี้อ้างว่าห้ามมุสลิมขายของ ส่วนพ่อค้าผู้นี้กล่าวว่าตนเคยขายของที่นี่มาก่อน และพ่อค้าแม่ค้าที่ขายที่นั่นก็นับถือหลากหลายศาสนา


เขายังได้เผยความในใจว่ารู้สึกอับอายที่ถูกพระสงฆ์ขับไล่ให้ออกจากตลาด เขาไม่ต้องการงอมืองอเท้า และการมาขายของในตลาดก็เป็นการประกอบอาชีพสุจริตเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว


เครดิตคลิปวีดีโอ – Ajmeer

💔 ชาวโรฮิงญาจากเมืองบูทิดอง รัฐยะไข่ ว่ายน้ำหนีตายข้ามฝั่งไปยังบังกลาเทศ

7/10/17


ตอนนี้รัฐบาลพม่าใช้มาตรการใหม่ด้วยการบีบบังคับให้ชาวโรฮิงญาเมืองบูทิดอง ต้องอดตาย สั่งห้ามองค์กรบรรเทาทุกข์นานาชาติส่งเสบียงอาหารเข้าไปช่วยเหลือชาวโรฮิงญาที่ยังคงติดอยู่ในพม่า

ชาวโรฮิงญาต้องประสบกับภาวะขาดแคลนทั้งอาหาร น้ำดื่ม อย่างหนัก เพราะรัฐบาลไม่อนุญาตให้ชาวโรฮิงญาออกจากหมู่บ้านไปได้ ส่วนทางกองทัพพม่าร่วมกับพุทธหัวรุนแรงชาวยะไข่ยังคงบุกโจมตี ทำร้าย สังหาร ปล้นสะดมข้าวของ วัวควาย และเผาบ้านเรือนของชาวโรฮิงญา จึงทำให้ชาวโรฮิงญาจำนวนมากที่ยังในพม่า ต้องตัดสินใจหนีตายอพยพข้ามฝั่งไปยังบังกลาเทศ

ล่าสุดชาวโรฮิงญาจำนวนมากกว่า 520,000 คน ได้ลี้ภัยเข้าไปยังบังกลาเทศนับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา และคาดว่าชาวโรฮิงญาที่ยังติดอยู่ในพม่าอีกจำนวน 500,000 – 700,000 คน อาจมีการตัดสินใจหนีตายออกมาจากพม่าลี้ภัยไปยังบังกลาเทศอย่างต่อเนื่อง....

ที่มา-

 ดูคลิปที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
 เรื่องเล่าจากปากของผู้รอดชีวิตมุสลิมโรฮิงญา
https://www.facebook.com/muslim.aof/videos/1736519259975788/

Thursday, September 28, 2017

ถือศีลอดซุนนะฮฺวันศุกร์ (พรุ่งนี้ 29/09) และเสาร์ (30/09) มุฮัรรอม

     มาร่วมกันถือศีลอดซุนนะฮฺวันศุกร์ (พรุ่งนี้ 29/09) และเสาร์ (30/09) กันค่ะ



คลิปวีดีโออภิบายวันอาชูรอ:

วันอาชูรออฺคือวันอะไร มีความสำคัญต่อผู้ศรัทธาอย่างไร?
ให้ขนม(...)ได้ผลบุญหรือไม่?

ที่มา - White Channel สถานีความดี 24 ชม.

Saturday, September 23, 2017

เรื่องเล่าจากปากของผู้รอดชีวิตมุสลิมโรฮิงญา

คนในครอบครัวของผม 4 คนถูกทหารพม่ายิงตาย พวกทหารราดน้ำมันใส่ศพและเผาพวกเขาพร้อมไปกับบ้านของเรา!

บ้านของพวกผมถูกเผาโดยทหารพม่า ขณะที่ครอบครัวของผมยังมีชีวิตอยู่ในบ้าน! สมาชิกในครอบครัวของผมวิ่งหนีออกมาไม่ทัน เพราะทหารและพวกชาวพุทธยะไข่ล้อมบ้านพวกเราไว้! .............


เครดิตวีดีโอ - CJ Werleman

Wednesday, August 23, 2017

☝ ความประเสริฐของสิบวันแรกซุลฮิจญะฮฺจากซุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

 
 
عن ابن عباس – رضي الله عنهما – عن النبي صلى الله عليه وسلم أنه قال : " ما من عملٍ أزكى عند الله ولا أعظم
أجراً من خيرٍ يعمله في عشر
 الأضحى . قيل : ولا الجهادُ في سبيل الله ؟ . قال : " ولا الجهادُ في سبيل الله إلا رجلٌ خرج بنفسه وماله فلم يرجعْ من ذلك بشيء . قال وكان سعيد بن جُبيرٍ إذا دخل أيام العشر اجتهد اجتهاداً شديداً حتى ما يكاد يُقدرُ عليه " ( رواه الدارمي ، ج 2 ، الحديث رقم 1774 ، ص 41


จากการบันทึกของอิมามบุคอรียฺและอบูดาวู้ด รายงานโดยท่านอิบนุ
อับบาสจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ไม่มีวัน
ใดๆ การกระทำอันดีงามที่อัลลอฮฺทรงโปรดจะถูกกระทำในวันนั้นดี
กว่าการกระทำสิ่งดีๆในบรรดาวันนี้(คือสิบวันแรกของซุลฮิจญะฮฺ)” 
เศาะฮาบะฮฺได้กล่าวว่า “แม้กระทั่ง(ดีกว่า)การทำญิฮาดในหนทาง
ของอัลลอฮฺกระนั้นหรือ” ท่านนบีตอบว่า “แม้ กระทั่งการทำญิ
ฮาด(หมายถึงจะไม่ดีกว่าการทำความดีในสิบวันแรกของซุลฮิจญะฮฺ) 
เว้นแต่ชายคนหนึ่งออก(จากบ้าน)ด้วยชีวิตและทรัพย์สิน(เพื่อทำญิ
ฮาดในหนทาง ของอัลลอฮฺ) และไม่มีสิ่งใดจากนั้น(ชีวิตและ
ทรัพย์สิน)ได้กลับมาเลย” (คือ เสียทรัพย์สมบัติและชีวิตของเขาไปใน
การญิฮาดเพื่ออัลลอฮฺตะอาลา แต่การญิฮาดอื่นๆจากนี้ก็ไม่ประเสริฐ
กว่าการปฏิบัติอิบาดะฮฺในสิบวันแรกของ ซุลฮิจญะฮฺ)



อีกสำนวนหนึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "ไม่มี
อะมั้ลใดๆที่มีความประเสริฐ(มีความสง่างาม มีผลบุญยิ่งใหญ่
มหาศาล) ดีกว่าการทำความดีในสิบวันของ(อีด)อัฎฮา


 กิจกรรมที่แนะนำให้ปฏิบัติในช่วงสิบวันแรกของซุลฮิจญะฮฺคือ

• การสรรเสริญสดุดีต่ออัลลอฮฺ : บรรดาสะละฟุศศอลิหฺจะขยันในการ
รำลึกถึงอัลลอฮฺด้วยเสียงเบาและเสียงดัง โดยกล่าวคำว่า “อัลลอฮุอัก
บัร ลาอิลาหะอิ้ลลัลลอฮฺ และ อัลฮัมดุลิลลาฮฺ”

• أن الأعمال الصالحة في هذه الأيام أحب إلى الله تعالى منها في غيرها؛ فعن عبد الله بن عمر رضي الله عنه أنه قال : قال رسول الله صلى الله عليه وسلم : " ما من أيام أعظم عند الله ، ولا أحب إليه العمل فيهن من هذه الأيام العشر فأكثروا فيهن من التكبير والتهليل والتحميد " رواه أحمد ، مج 2 ، ص 131 ، الحديث رقم 6154


ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิอุมัร รายงานจากท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะ
ลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า “ไม่มีวันใดๆที่ทรงเกียรติ ณ ที่อัลลอฮฺ และการ
ทำความดีเป็นที่โปรดปราน ณ อัลลอฮฺในวันนั้นๆ ดีกว่าสิบวัน
แรก(ของซุลฮิจญะฮฺ) ดังนั้นพวกท่านจงขะมักเขม้นในการตักบีร ตะหฺ
ลี้ล และตะหฺมี้ด (หมายถึงกล่าวถึงความเกรียงไกรและสรรเสริญสดุดี
ต่อพระองค์ด้วยคำว่า อัลลอฮุอักบัร ลาอิลาหะอิ้ลลัลลอฮฺ และ อัลฮัม
ดุลิลลาฮฺ)” บันทึกโดยอิมามอะหมัด

• การละหมาดซุนนะฮฺให้มากๆ
• การเชือดกุรบาน(อุฎฮิยะฮฺ)
• การบริจาคทานให้มากมาย
• การละหมาดกลางคืน (กิยามุลลัยลฺ)
• การกลับเนื้อกลับตัวและสำรวมตนให้อยู่ในกรอบหลักการของอัลอิสลามอย่างสม่ำเสมอ
• การถือศีลอดในช่วงแรก 9 วันของเดือนซุลฮิจญะฮ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ไม่ควรพลาดคือวันที่ 9 คือวันอะเราะฟะฮ์ เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งของท่านเราะซูล และหวังการอภัยโทษจากอัลลอฮ์



 ความประเสริฐของวันอะรอฟะฮฺ
عن أم المؤمنين عائشة رضي الله عنها-أنها قالت : عن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال : " ما من يومٍ أكثر من أن يُعتق الله عز وجل فيع عبداً من النار ، من يوم عرفة ، وإنه ليدنو ثم يُباهي بهم الملائكة ، فيقول : ما أراد هؤلاء ؟ " رواه مسلم ، الحديث رقم 3288 ، ص 568.

ท่านหญิงอาอิชะฮฺรายงานจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม 
กล่าวว่า

“ไม่มีวันใดที่อัลลอฮฺทรงปลดปล่อยบรรดาบ่าวของพระองค์จากนรก
มากกว่าวันอะรอฟะฮฺ และแท้จริงพระองค์จะทรงอยู่ใกล้ชิดและทรง
ภูมิใจ(ด้วยการขยันทำความดีของบ่าว ของพระองค์)ต่อมลาอิกะฮฺ 
โดยพระองค์จะตรัส(ด้วยความภูมิใจ)ว่า คนเหล่านี้ประสงค์อะไร
กัน(หมายถึงกล่าวถึงความปรารถนาอันทรงเกียรติของบ่าวของ 
อัลลอฮฺที่แสวงบุญในวันอะรอฟะฮฺ)” บันทึกโดยอิมามมุสลิม

#10วันแรกของซุลฮิจญะฮฺ

กองทัพอิสราเอลสังหารเด็กกาซ่า 50 คน ภายใน 2 วัน

แคทเธอรีน รัสเซลล์ ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรยูนิเซฟ UNICEF ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีที่นองเลือดในฉนวนกาซาเหนือเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย...