Tuesday, June 28, 2016

+ 18 มือระเบิดปลดชนวนระเบิดพลีชีพที่ติดไว้ที่เข็มขัดหลังถูกตำรวจยิงในสนามบินนานาชาติอตาเติร์ก

28/06/16



คลิปวีดีโอนี้เผยให้เห็นหนึ่งในมือระเบิดใช้ปืนAK 47 วิ่งไล่ยิงผู้

โดยสารในสนามบินนานาชาติอตาเติร์กในอิสตันบูล ประเทศตุรกี 

ทำให้ผู้โดยสารต่างวิ่งหนีกันอลหม่านเพื่อเอาชีวิตรอด 


ปรากฏว่ามือระเบิดคนนี้ถูกตำรวจประจำสนามบินยิงจนล้มลงกับพื้น 

จากนั้นเขาจึงปลดชนวนระเบิดพลีชีพที่ติดไว้ที่เข็มขัด ทำให้เสียชีวิต

ทันทีในที่เกิดเหตุ


มือระเบิดผู้นี้เป็นหนึ่งในสามที่บุกโจมตีสนามบินนานาชาติอตาเติร์ก 

ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 31 รายและมีผุ้บาดเจ็บ 60 ราย โดย

อ้างจากสำนักข่าวของรัฐบาลตุรกี Anadolu Agency รายงานว่าใน

จำนวนผู้บาดเจ็บทั้งหมดมี 6 รายที่บาดเจ็บสาหัส



 ข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ – 

+18 เกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่และมีการยิงต่อสู้กันในสนามบินนานาชาติอตาเติร์กในอิสตันบูล

เกิดเหตุระเบิดครั้งใหญ่และมีการยิงต่อสู้กันในสนามบินนานาชาติอตาเติร์กในอิสตันบูล

28/06/2016



มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 31 รายและมีผุ้บาดเจ็บ 60 ราย โดยอ้างจาก
สำนักข่าวของรัฐบาลตุรกี Anadolu Agency รายงานว่าในจำนวนผู้
บาดเจ็บทั้งหมดมี 6 รายที่บาดเจ็บสาหัส


นาย Vasip Şahin ผู้ว่าการนครอิสตันบูลกล่าวกับสำนักข่าวช่อง 
NTV news ว่ามีผู้เสียชีวิตตอนนี้อย่างน้อย 28 ราย และทางการเชื่อ
ว่ามือระเบิดพลีชีพมี 3 คน เพราะมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นต่างเวลากันถึง 3 ครั้ง


เจ้าหน้าที่ตุรกีอีกนายหนึ่งกล่าวกับสำนักข่าวเดอะการ์เดี๊ยนว่า มือ
ระเบิดปลดเข็มขัดพลีชีพบริเวณจุดตรวจความปลอดภัยตรงทางเข้า
สนามบินนานาชาติ หลังจากตำรวจเริ่มเปิดฉากยิงใส่มือระเบิด


Bekir Bozdağ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวในสภาในกรุง
อังการาว่า ได้รับรายงานหลายครั้งว่าเกิดเหตุระเบิดอีก 1 ครั้งบริเวณ
ทางเข้าสนามบิน แต่ไม่ได้กล่าวรายละเอียดเพิ่มเติม


“ผมขอประณามอย่างรุนแรงต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ก่อการร้าย
ในครั้งนี้ และผู้ที่อยู่เบื้องหลังสั่งการ” นาย Bozdağ กล่าว โดยเขา
กล่าวเพิ่มเติมว่าเขามีข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มก่อการร้ายที่รับผิดชอบต่อ
เหตุการณ์โจมตีในครั้งนี้ แต่ไม่ประสงค์ที่จะกล่าวในตอนนี้จนกระทั่ง
จะได้รับการยืนยันเสียก่อน


ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวกับสำนักข่าว CNN เติร์กว่า ได้ยินเสียงปืนดัง
ขึ้นจากบริเวณที่จอดรถที่สนามบิน แท๊กซี่และรถพยาบาลต่างช่วยกัน
นำผู้บาดเจ็บออกจากสนามบินส่งโรงพยาบาล


นาย Bozdağ กล่าวว่ามือระเบิดอีกคนใช้ปืนเอเค 47 วิ่งกราดยิงใส่ผู้
โดยสารสนามบิน ก่อนที่จะถูกตำรวจยิงสวนกลับ จึงทำให้มือปืนล้ม
ลงกับพื้น จากนั้นจึงปลดเข็มขัดพลีชีพ ซึ่งภาพปืนที่ตกอยู่บนพื้นใน
สนามบิน และเหตุการณ์ขณะระเบิดในสนามบิน ได้มีการแชร์กันอย่าง
แพร่หลายบนโลกโซเชียลมีเดีย


ตำรวจปิดทางเข้าสนามบิน มีการยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมดและเครื่อง
บินบางลำต้องนำเครื่องบินไปลงจอดที่สนามบินอื่น

“ตอนนี้มีผู้โดยสารวิ่งออกมาจากสนามบิน ผู้โดยสารบางคนติดอยู่ใน
นั้น 2 ชั่วโมง นาย Jared Malsin ผู้สื่อข่าวนิตยสารไทม์ ได้ทวิต
ข้อความสดจากสนามบิน “ขณะนี้ มีผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนยืนยันว่า
มีเหตุระเบิดเกิดขึ้น 2 ครั้ง ระเบิดครั้งที่สองระเบิดขึ้นทำให้มีผู้โดยสาร
พากันวิ่งหนีอย่างอลหม่านภายในบริเวณอาคารผู้โดยสารขาเข้า


ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบ ณ ตอนนี้ แต่เหล่านัก
วิเคราะห์ชี้เป็นฝีมือของกลุ่มไอสิส บ้างก็อ้างว่าอาจเป็นฝืมือของกลุ่ม
พีเคเค


ในวันเดียวกัน (28/06/2016) ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นในขณะที่รถตำรวจ
หุ้มเกราะวิ่งผ่าน บริเวณใกล้กับโรงพยาบาลรัฐ ประจำอำเภอ Dicle 
ทางตอนเหนือของเมืองที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาค Diyarbakir ในตุรกี 
ส่งผลให้ตำรวจ 1 นายเสียชีวิต และมีพลเรือนบาดเจ็บ 7 ราย อ้าง
จากแหล่งข่าวความมั่นคง


เหตุการณ์ระเบิดสนามบินของตุรกีเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อวันที่ 
23 ธันวาคม 2015 เกิดเหตุระเบิดที่สนามบินซาบิฮา ก็อคเซน 
Sabiha Gokcen ในนครอิสตันบูล เมื่อช่วงเช้าเวลาประมาณ 02.15 
น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยจุดที่ระเบิดอยู่ใกล้กับเครื่องบิน ส่งผลให้มี
พนักงานทำความสะอาดในสนามบินเสียชีวิต 1 ราย และเครื่องบิน 4 
ลำได้รับความเสียหาย ซึ่งกลุ่มเหยี่ยวเสรีภาพเคอร์ดิสถาน 
(Kurdistan Freedom Falcons: TAK) กลุ่มติดอาวุธสาขาของกลุ่ม
แบ่งแยกดินแดน พรรคแรงงานเคอร์ดิสถาน (Kurdistan Workers' 
Party: PKK) ออกมาอ้างตัวเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการโจมตีครั้งนั้น


Monday, June 27, 2016

ตำรวจอิสราเอลบุกเข้าไปในมัสยิดอัลอักซอ ทำร้ายมุสลิมที่ไปละหมาดและผู้ไปเอี๊ยะอฺติก๊าฟที่มัสยิด

26/06/16




เยรูซาเล็ม – ในคลิปวีดีโอฉายให้เห็นมุสลิมคนหนึ่งถูกกลุ่มตำรวจ
อิสราเอลลากออกมาจากมัสยิดอัลอักซอ หลังจากถูกตำรวจรุมทุบตี
จนเลือดอาบศีรษะ


ในตอนเช้าของวันอาทิตย์ 26/06/16 ตำรวจอิสราเอลได้เปิดประตูอัล-
มักริบบะอฺ (al-Maghariba) ให้กลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานยิวไซออนิสต์และนัก
ท่องเที่ยวเข้ามาเดินทัวร์ในบริเวณมัสยิดอัลอักซอ ซึ่งทางอิสราเอล
เป็นฝ่ายละเมิดสัญญาระหว่างประเทศที่มีการให้คำมั่นสัญญาเอาไว้ว่า
จะไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมเข้ามาในบริเวณมัสยิดอัลอักซอ และ
นี่นับเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่มุสลิมเห็นพวกยิวไซออนิสต์เข้ามา
เดินทัวร์มัสยิดในช่วง 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน


“ประตูอัล-มักริบบะอฺสมควรที่จะปิดตาย” เจ้าหน้าที่อาวุโสขององค์กร 
Islamic Waqf ซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายในการดูแลศาสนสถานของ
มุสลิมในเยรูซาเล็ม กล่าว


ตำรวจอิสราเอลกล่าวกับเจ้าหน้าที่องค์กรว่าทางการจะไม่มีการ
อนุญาตให้ผู้ตั้งถิ่นฐานอิสราเอลคนใดๆ เข้ามาในบริเวณมัสยิดอัลอัก
ซอโดยเฉพาะในช่วง10วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน เพื่อให้มุสลิม
ได้ใช้เวลาในช่วงนี้ปฏิบัติศาสนกิจอย่างเต็มที่ (เอี๊ยะอฺติก๊าฟ)


เมื่อชาวปาเลสไตน์เห็นกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานเริ่มเดินเข้ามาพร้อมตำรวจ
อิสราเอล จึงเริ่มตะโกนประท้วง “อัลลอฮุอักบัร” เพื่อแสดงให้เห็นถึง
ความไม่พอใจในการที่พวกอิสราเอลทำการละเมิดสัญญา


จากนั้นตำรวจอิสราเอลจึงบุกเข้าไปในมัสยิดอัลอักซอ ด้วยการใช้
ระเบิดแก๊สน้ำตาขว้างเข้าไปในมัสยิดอัลอักซอ ตำรวจบางคนใช้
กระสุนเหล็กเคลือบยางยิง บ้างก็ใช้กระบองตีผู้ที่ละหมาดและทำเอี๊
ยะอฺติก๊าฟที่นั่งอยู่ในมัสยิดอัลอักซอ


อ้างจากองค์กรเสี้ยววงเดือนแดง Red Crescent มุสลิมอย่างน้อย 5 
คน บาดเจ็บสาหัสจากการถูกตำรวจทำร้าย มุสลิมบางคนบาดเจ็บจาก
ถูกกระสุนปืนยิงใส่ มุสลิม 4 คนถูกตำรวจจับตัวไป รวมทั้งจำนวน
มุสลิมต่างชาติที่มาจากแอฟริกาใต้ 3 คนที่มาเอี๊ยะอฺติก๊าฟที่มัสยิดอัล
อักซอ


แหล่งข่าวจากองค์กร Islamic Waqf กล่าวกับ Palestinian 
Information Center (PIC) ว่าตำรวจอิสราเอลตัดสินใจสั่งห้ามมุสลิม
ที่อายุน้อยกว่า 30 ปีเข้าไปละหมาดหรือเอี๊ยะอฺติก๊าฟในมัสยิดอัลอัก
ซอ หลังจากเหตุการณ์ที่อิสราเอลบุกทำร้ายมุสลิมในมัสยิดในครั้งนี้


ที่มา –
Sabri: Israeli attack on Aqsa worshipers crime
http://english.palinfo.com/site/pages/details.aspx…
Palestinians injured in Israeli forces attack at Al Aqsa Mosque
http://www.qassam.ps/news-10738-Palestinians_injured_in_Isr…

Saturday, June 25, 2016

ดุอาสำหรับคืนลัยละตุ้ลก็อดรฺ



"ลัยละตุ้ลก๊อดรฺ"  หมายถึง คืนแห่งพระกำหนด หรือ คืนที่ยิ่งใหญ่ ความประเสริฐและความยิ่งใหญ่ของลัยละตุ้ลก๊อดรฺนั้นก็เนื่องมาจากสามประการ ดังนี้


- เป็นคืนที่อัลกุรอานเริ่มถูกประทานลงมา ดังที่อัลลอฮฺตรัสไว้ว่า "แท้จริงเราได้ประทานอัลกุรอานลงมาในคืนอัลก๊อดรฺ" (ซูเราะฮฺอัลก๊อดรฺ 1)


- เป็นคืนที่ผลบุญถูกบันทึกอย่างทวีคูณดังที่อัลลอฮฺตรัสไว้ว่า "คืนอัลก๊อดรฺนั้นดียิ่งกว่าหนึ่งพันเดือน" (ซูเราะฮฺอัลก๊อดรฺ 3)


- เป็นคืนที่อัลลอฮฺทรงกำหนดกฎสภาวะของมนุษยชาติประจำปี ดังที่อัลลอฮฺตรัสไว้ว่า "แท้จริง เราได้ประทานอัลกุรอานลงมาในคืนอันจำเริญ แท้จริงเราเป็นผู้ตักเตือน ในคืนนั้นทุกๆกิจการที่สำคัญถูกจำแนกไว้แล้ว" (ซูเราะฮฺอัดดุคอน 3-4) หมายถึง ถูกกำหนด


จากเหตุผลข้างต้น คืนอัลก๊อดรฺจึงมีความศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของบรรดาผู้ศรัทธาและเรียก ร้องสู่หนทางอันจำเริญที่มนุษย์ทุกคนมีความปรารถนา



ที่มาของข้อมูล:
http://www.islaminthailand.org/dp6/story/49

Sunday, June 12, 2016

สตรีมุสลิมผู้สูงอายุชาวตูนีเซียที่ตาบอดกลับมามองเห็นอีกครั้ง

สตรีมุสลิมผู้สูงอายุชาวตูนีเซียที่ตาบอดกลับมามองเห็นอีกครั้งระหว่างประกอบพิธีฮัจย์


20 ตุลาคม 2013



นางนาฟีซ่า อัล-กุรมาซีย์ Nafeesa Al-Qurmazi สตรีมุสลิมผู้สูงอายุวัย 70 โดยนางมีลูกชาย 2 คนและลูกสาว 3 คน ได้กล่าวว่า นางมาประกอบพิธีฮัจย์ที่มักกะฮฺ  ในสภาพที่ตาบอดสนิท และนางกลับประเทศตูนิเซียด้วยสภาพที่กลับมาเห็นอย่างชัดเจนอีกครั้ง

นาฟีซ่าต้องสูญเสียการมองเห็นไปเป็นเวลาปีครึ่งแล้ว หลังจากที่นางประสบภาวะสมองขาดเลือด (STROKE)  บรรดาแพทย์ต่างสิ้นหวังในการที่ทำให้นางกลับมามองเห็นอีกครั้ง เนื่องจากความรุนแรงของอาการ และประกอบการที่นางมีอายุที่มากแล้ว

เมื่อดิฉันมาทำฮัจย์เป็นครั้งแรก ดิฉันมีความแน่ใจว่า พระองค์อัลลอฮฺจะตอบรับดุอา (การขอพร) ของดิฉัน ที่พระองค์จะประทานพรให้ดิฉันจะกลับมามองเห็นอีกครั้งนาฟีซ่ากล่าวกับหนังสือพิมพ์อัลมาดีนะฮฺ ซึ่งรายงานข่าวนี้

นาฟีซ่าได้ตัดสินใจขอดุอา (ขอพร) ต่อพระองค์อัลลอฮมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมในวันอารอฟะฮฺ และนางแน่ใจว่าพระองค์อัลลอฮฺจะไม่ทำให้ดิฉันต้องผิดหวัง ระหว่างที่ขอดุอา ทุ่งอารอฟะฮฺ จู่ๆ ดิฉันก็สามารถมองเห็นขึ้นมาทันที เมื่อฮุจญาต (ผู้ประกอบพิธีฮัจย์) คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ในเต้นท์เดียวกับดิฉัน เห็นดิฉันร้องไห้ด้วยความดีใจ พวกเขาต่างเริ่มตะโกนตักบีร (อัลลอฮุอักบัร)” นาฟีซ่ากล่าว

นาฟีซ่ากล่าวต่อไปว่า ตลอดระยะทางจากตูนีเซีย นางได้ใฝ่ฝันที่จะได้เห็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นั้นคือเมืองมักกะฮฺและเมืองมาดีนะฮฺขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าทำให้ดิฉันมองเห็นในตอนนี้ และดิฉันเดินไปไหนมาไหนได้เอง โดยปราศจากความช่วยเหลือจากผู้อื่น

นางกล่าวด้วยความปลื้มปิติยินดีอย่างเปี่ยมล้นที่ได้มีโอกาสมองเห็นผู้ประกอบพิธีฮัจย์คนอื่นๆ ในทุ่งอารอฟะฮฺ ภาพที่กุรมาซีย์ไม่เคยคาดฝันว่าจะกลายเป็นจริง

พระองค์อัลลอฮฺทรงประทานพรให้ดิฉันด้วยการกลับมามองเห็นอีกครั้ง ในสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกนาฟีซ่ากล่าวปิดท้าย

ที่มา
1.                  Blind woman regains sight at Arafat
2.                  Elderly woman regains eyesight during Hajj

3. Miracle Changes Tunisian Pilgrim’s Life


4.   Blind Tunisian woman regains eyesight in Arafat

Saudi Gazette

Saturday, June 11, 2016

ชายมุสลิมตาบอดกลับมามองเห็นเป็นปกติ ขณะที่เขากำลังประกอบพิธีอุมเราะฮฺที่นครมักกะฮฺ

*****อัพเดทข่าวเกี่ยวกับคลิปวีดีโอ: ชายมุสลิมตาบอดกลับมามองเห็นเป็นปกติ หลังจากละหมาดอัสริในมัสยิดอัลฮารอมที่มักกะฮฺ

หลังจากมีมุสลิมทั่วโลกได้มีการแชร์วีดีโอนี้ในโลกโซเชียลมีเดีย ทำให้มีคนสังเกตุเห็นว่าคนตาบอดแต่กลับใส่นาฬิกา จากนั้นมีข่าวออกมาต่อว่า “ชายมุสลิมที่อ้างว่าตาบอดผู้นี้เป็นหนึ่งในแก๊งค์ที่ลักขโมยโทรศัพท์และ กระเป๋าสตางค์ของบรรดาผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ที่มักกะฮฺ”

ภายในไม่กี่วันหลังจากคลิปวีดีโอนี้ได้แชร์กันอย่างแพร่หลาย ทางสำนักข่าว Huffington Post ได้รายงานข่าวว่า ทางตำรวจท่องเที่ยวออกมาปฎิเสธว่า “ไม่ได้มีการจับกุมชายผู้นี้ที่มัสยิดอัลฮารอมแต่อย่างใด” http://www.huffpostarabi.com/2016/…/07/story_n_10336642.html

ส่วนนาย Tamer Sayyed ออกมาโพสต์ในเฟสบุ๊กส์ว่า “เขาเป็นลูกชายของผู้ชายคนที่ตกเป็นข่าว โดยชี้แจงว่าตาของพ่อของเขาข้างหนึ่งมีเลือดคลั่งอยู่ ซึ่งพ่อเขากำลังเผชิญหน้ากับความเป็นไปได้ที่จะต้องสูญเสียการมองเห็นตาข้าง นั้นไปอย่างถาวร แต่กลับมองเห็นเป็นปกติหลังจากละหมาดอัสริในมัสยิดฮารอมที่มักกะฮฺ และยืนยันว่าพ่อของเขาไม่ได้ตาบอดสนิทแต่อย่างใด”

ข้อมูลอ้างอิง –
A blind man who regained his sight in Mecca turned out to be less than miraculous
http://www.albawaba.com/…/blind-man-who-miraculously-regain…
السلطات السعودية تنفي القبض على المعتمر المصري الذي استعاد بصره.. وابنه: والدي ليس كفيفاً!
http://www.huffpostarabi.com/2016/…/07/story_n_10336642.html


5/06/2016



อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮุอักบัร!!! เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดได้เกิดขึ้นแล้วในมัสยิดอัลฮารอมมักกะฮฺ เมื่อมีชายตาบอดคนหนึ่งได้เดินทางมาทำอุมเราะฮก้บญาติของเขา  และเมื่อเขาได้ทำการละหมาดอัสริในมัสยิดอัลฮารอมเสร็จเรียบร้อย ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเดือนชะฮฺบาน (คืนแรกของเดือนรอมฎอนเริ่มจากเวลาละหมาดมักริบ) เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ได้เกิดขึ้นกับเขา นั้นคือตาทั้งสองข้างของเขาที่เคยมืดบอดสนิดกลับมามองเห็นเป็นปกติ ทำให้เขาดีใจถึงกับเปล่งเสียงออกมาดังๆว่า "โอ้อัลลอฮ ดวงตาของฉันหายบอดแล้ว ฉันสามารถเห็นเหมือนคนปกติแล้ว! ขอบคุณอัลลอฮ ขอบคุณอัลลอฮ"


เครดิต – Muhammadfaozi Yaena
            

Saturday, June 4, 2016

มูฮัมหมัด อาลี อดีตยอดนักมวยเสียชีวิตแล้วด้วยวัย 74 ปี

4/06/16



"มูฮัมหมัด อาลี" อดีตเจ้าของแชมป์มวยโลกรุ่นเฮฟวี่เวท และเป็นนักกีฬาที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก ได้เสียชีวิตเมื่อเช้านี้ 4/06/16 ที่โรงพยาบาลที่เมืองฟีนิกซ์ รัฐอริโซน่า สหรัฐอเมริกา ด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ และอาการป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน หลังจากเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา  ทางโฆษกของครอบครัวอาลีได้ออกมายืนยันข่าวการจากไปของเขาสำหรับพิธีฝังศพจะมีขึ้นที่เมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนตักกี้ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอาลี

ชื่อเดิมของมูฮัมหมัด อาลี คือ เคสเซียส มาเซลลัส เคลย์  โดยเขาเข้ารับอิสลามในปี 1964   ในปี 1966 เขาปฏิเสธอย่างเป็นทางการว่าจะไม่เข้าร่วมในกองทัพ โดยเขากล่าวว่ามันเป็นการขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม อีก 10 วันต่อมาเขาถูกดำเนินคดีที่ฮุสตันในข้อหาหลีกเลี่ยงทหาร ผู้พิพากษา โจ อิงแกรม ตัดสินให้เขาได้รับโทษสูงสุดคือจำคุก 5 ปี และปรับเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในระหว่างการยื่นอุทธรณ์อาลีถูกสั่งห้ามชก

คำร้องอุทธรณ์ของอาลีมาประสบความสำเร็จในวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1971 คำตัดสินของศาลสูงสุดยกฟ้องด้วยเสียง 8:0 นับเป็นระยะเวลา 3 ปีที่อาลีไม่ได้ขึ้นเวทีชกมวยเลย ซึ่งปัจจุบันหลายฝ่ายเห็นว่า นั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา น่าจะเป็นช่วงที่อาลีขึ้นถึงจุดสูงสุดในชีวิตการชกมวยได้ แต่กลับต้องเลยผ่านไปอย่างน่าเสียดาย

มูฮัมหมัด อาลี ถือว่าเป็นนักมวยผู้เป็นตำนานในหลายด้าน นอกจากบุคลิกที่โดดเด่น กล้าคิด กล้าพูด หลายเรื่องที่อาลีแสดงความเห็นและแสดงออกทางสังคมล้วนแต่มีนัย มีความหมายทั้งสิ้น ประกอบกับกระแสการเมืองทั้งในสหรัฐอเมริกาและการเมืองโลกขณะนั้นยิ่งทำให้ อาลีกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นขึ้นมาทำให้เขาได้รับเชิญให้ไปบรรยายใน มหาวิทยาลัยและสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปีของหลายสถาบัน และได้รับเลือกให้เป็นบุคคลในวงการกีฬาแห่งปี 2517 ของนิตยสารสปอร์ต อิลลัสเตรด อีกทั้งยังเป็นนักมวยรายแรกที่กล้าทำนายผลการชกของตัวเองล่วงหน้า แม้จะฟังดูว่าอวดตัวเอง แต่อาลีก็สามารถทำได้ในหลายต่อหลายครั้ง จนทำให้มีผู้แต่งเพลงให้แก่อาลีชื่อ "Black Superman" ซึ่งต่อมาคำนี้ได้กลายเป็นฉายาของอาลีในภาษาอังกฤษด้วย และในส่วนของแฟนมวยชาวไทยได้ให้ฉายาแก่อาลีในแบบที่สอดคล้องกับชื่อภาษา อังกฤษว่า "สิงห์จอมโว"
    
ฉายาของอาลีคือ "ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด" (The Greatest) ได้หลังจากชิงแชมป์โลกกับซอนนี่ ลิสตัน ในปี 2507 ซึ่งอาลีก็สามารถเอาชนะมาได้ และกลายมาเป็นนักมวยคนแรกที่ชนะการชกมวยรุ่นเฮฟวี่เวทถึง 3 สมัย ก่อนจะแขวนนวมในปี 2524 รวมสถิติการชก 61 นัด ชนะ 56 นัด

ชีวิตของมูฮัมหมัด อาลี ได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ถึง 2 เรื่อง คือ When we were kings หรือชื่อภาษาไทยว่า "วันเวลสของราชันย์" ฉายในปี 2539 และเรื่องที่ 2 คือ Ali หรือชื่อภาษาไทย "อาลี กำปั้นท้าชนโลก" ฉายในปี 2544

อาลีป่วยเป็นโรคพาร์กินสันตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา โดยเขากล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ผมเป็นโรคนี้ เพื่อเป็นการเตือนสติผมว่า ผมไม่ได้เป็นที่หนึ่ง พระองค์อัลลอฮฺเท่านั้นผู้ทรงเป็นที่หนึ่ง”

ที่มา –
Ilmfeed


กองทัพอิสราเอลสังหารเด็กกาซ่า 50 คน ภายใน 2 วัน

แคทเธอรีน รัสเซลล์ ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรยูนิเซฟ UNICEF ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีที่นองเลือดในฉนวนกาซาเหนือเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย...